การเรียนทางด้านสาขาเกษตรศาสตร์นั้น หลายคนอาจมองว่าเป็นการเรียนที่เหนื่อยเปล่า และไม่มีประโยชน์อะไรต่อสังคมในปัจจุบันเลย
แต่ความจริง ความคิดเหล่านั้น อาจเป็นความคิดที่ถูก หากคนที่มองในมุมต่างกันมานั่งคุยกัน
ความจริงแล้ว ชีวิตเด็กเกษตรนั้น ไม่ได้มีการเรียนที่ง่ายไปกว่า การเรียนของ แพทย์ หรือ วิศวะ หรือ ด้านอื่นๆ ที่มีการสอนในปัจจุบัน แต่การเรียนเกษตรนั้นสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาแล้วกระโดดลงไปงมเข็มในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่มหาศาล เพราะว่า นอกจากจะต้องมีความรู้ด้านชีววิทยาแล้ว ยังต้องรู้เกี่ยวกับเคมี และฟิสิกส์ รวมไปถึงสังคมทั้งอดีตและปัจจุบันด้วย (พูดง่ายๆว่าสาขาวิทยาศาสตร์ทั้งหมดจะต้องนำมาประยุกต์ให้เข้ากับความเป็นจริงของชีวิต)และต้องมีความคิดใหม่ๆ เพื่อพัฒนาและปรับปรุงให้ประชากรทั่วโลกมีปัจจัย 4 และปัจจัย ที่5 6 ... ที่มากขึ้นๆๆ ทุกวัน ซึ่งบุคคลเหล่านั้นมักจะไม่ค่อยมองเห็นความสำคัญของเกษตรกรสักเท่าไหร่ แต่กลับไปให้ความสำคัญกับ แพทย์ วิศวะ สถาปนิกฯลฯ ซึ่งสิ่งที่เขาให้ความสำคัญนั้น ปัจจัยพื้นฐานที่จะทำให้มีความเจริญขึ้นได้ในสังคม ก็ต้องหันกลับมามองอาชีพเกษตรกร อีกอยู่ดี แต่ .....เกษตรกรกลับถูกกดขี่ ทั้งทางด้าน การงาน การเงิน สถานะอาชีพ และศักดิ์ศรี และอีกจิปาถะที่ เกษตรกรถูกละเลย ไม่ให้ความสำคัญ
และถ้าหากย้อนกลับไปพูดถึงการเรียนด้านเกษตรแล้ว นักศึกษาเหล่านั้น ก็ไม่ได้ต่างไปจากเกษตรกรเลย โดยเฉพาะด้านชนชั้นและความสำคัญในสังคม ส่วนเรื่องของหลักสูตรที่เรียนนั้น ส่วนใหญ่จะเน้นด้านการปฏิบัติ โดยเฉพาะในที่แจ้ง เพื่อจะได้มีประสบการณ์และนำประสบการณ์นั้นไปผนวกกับการเรียนด้านวิทยาศาสตร์ในห้องแล็ป ที่ต้องมีการวิเคราะห์ หาค่าต่างๆ ที่เป็นตัวเลข เพื่อนำไปประเมินอีกทีหนึ่ง และต้องมีขั้นตอนอื่นต่อจากนี้อีกมาก กว่าจะนำมาใช้ได้จริง ซึ่ง หากนึกดูแล้ว การเรียนเกษตรนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายๆคนคิดเลย แต่คนที่จบไปส่วนใหญ่จะ ได้ทำงานกับบริษัทต่างชาติ (หากคนนั้นๆมีความรู้มากพอหรือมีเกรดเฉลี่ยสูง) หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ หรือ อาชีพอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับที่เรียนมา หรืออาจเกี่ยวข้องแต่ไม่โดยตรง
ถ้าหากรัฐบาลมีการพัฒนาการจัดการเกี่ยวกับการจ้างงานในด้านเกษตรนี้ โดยตรง ประเทศไทยเรา คงจะมีอะไรที่พัฒนา ได้มากกว่าทุกวันนี้แน่นอน
|