โลกนี้มีมาก่อนผู้คน แต่โลกจะทนอยู่ได้นานสักเท่าใด วันนี้คงไม่มีใครไม่คุ้นเคยประโยคนี้ สืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ เป็นที่มาของการกลั่นกรองบทเพลงเพื่อสันติ ทว่าในความเป็นจริง สภาพสังคมที่ทาบทาด้วยความรุนแรงต่างๆ มีความเป็นมาควบคู่กับสภาพจิตใจของผู้คนที่ต่างแสวงหาสิ่งที่ตนต้องการ เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมา ในบางทีอาจต้องแลกด้วยความเดือดร้อนของผู้อื่น ด้วยหลงลืมไปว่า เราอาจได้ในสิ่งที่ต้องการ หากใช้วิธีการที่เหมาะสม และคงไม่มีผู้ใดคัดค้านได้ หากสิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความสงบสุข
เพราะทุกวันนี้ ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากครั้งอดีต ชีวิตล้วนต้องดิ้นรนมากขึ้น เพื่อความอยู่รอด จนที่สุด เมื่อมนุษย์หลงลืมความดีงาม เหตุผลอาจอยู่ที่สภาพสังคมที่ปิดล้อม เป็นที่มาของความคิดที่ว่า ผู้ที่มีทุกอย่างพร้อม จึงจะมีความสุข แสวงหาไม่สิ้นสุดเพียงเพื่อครอบครอง ความผูกพันในสังคมถูกลดคุณค่า จึงเป็นที่มาของสภาพความรุนแรงและความไม่เหมาะสมหลายประการ บังเกิดขึ้นในสังคมที่กลุ่มชนต่างต้องการความเป็นหนึ่ง ซึ่งความหมายลึก ๆ นั้น อาจอยู่คนละด้านกับความสามัคคีกลมกลืน เมื่อมนุษย์เริ่มลืมเลือนความหมายของคำว่ารัก พี่น้องประชาชน จะอยู่อย่างไร
จะมีใครเคยคำนึงถึงหรือไม่ก็ตาม ความหมายของดนตรีด้านหนึ่งคือการหยิบยื่นซึ่งความสุข ยามที่ใจคนสุมด้วยไฟที่มอดไหม้ทุกสิ่ง ไม่ทิ้งให้เหลือกระทั่งความหวัง ผู้คนจึงเริ่มมองเห็นความหมายที่ซุ่มซ่อน และเริ่มกระจายความรู้สึกดีๆ ที่เรียกว่ารัก ผ่านไปทางดนตรีซึ่งมีคำร้อง เสมือนสายลมสันติ พัดโชยเพิ่มความชุ่มเย็นในจิตใจของมนุษย์ สานทอความสามัคคีให้เกิดขึ้นร่วมกันในสังคม และคงไม่มีเวลาใดที่เราจะเห็นถึงความเชื่อมโยงของดนตรีกับความต้องการที่แท้จริงของผู้คนได้ เท่ากับเวลาที่ความรัก สามัคคี คือสิ่งที่มนุษย์เรียกหา
ดนตรีและบทเพลง คือตัวแทนความรู้สึกและบรรยากาศต่างๆ ที่แวดล้อมแนวความคิดของมนุษย์ เมื่อการกลั่นกรองของมุมมองต่างๆ เรียบเรียงเข้ากับท่วงทำนองที่สอดรับทุกความรู้สึก ความงามของคีตศิลป์ได้ปรากฏ องค์ประกอบหนึ่งซึ่งสร้างเอกลักษณ์ให้กับดนตรีคือเนื้อหาที่นำมาประกอบเข้าไป คำกล่าวที่ว่า ดนตรีคือสิ่งจรรโลงและเผยแพร่แนวคิด และความต้องการในส่วนลึกของมนุษย์ ยืนยันได้ด้วยข้อเท็จจริงข้างต้นนี้
ที่สุดแล้ว สิ่งประเสริฐสุดเริ่มฉายให้เห็นจากเพลงที่ทุกคนต่างต้องการให้เกิดขึ้นในจิตใจส่วนลึกของมนุษย์ ความรัก ความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เมื่อวันที่ผู้คนต่างเฝ้าถามหาเสรีภาพ สันติสุขซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความห่วงใย เพลงบทนั้นสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความจริงที่ว่า ความสมานฉันท์ ชนะทุกความวุ่นวาย บทสรุปของการอยู่ร่วมกันด้วยสันติวิธี ปรากฏเป็นสัจธรรมตามการทำหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของดนตรี ประโยคสุดท้ายที่จะคงความเป็นจริง ทั้งเฝ้าสมานความรัก ความห่วงใยเพื่อความสงบสุขของมนุษย์ ตราบนานเท่านาน ถึงเวลาต้องร่วมแรงร่วมใจ ช่วยตักน้ำดับไฟ ด้วยหัวใจสามัคคี
เกื้อกูล พิทักษ์สุรชัย
21/04/48