ประโยชน์ของตราสารอนุพันธ์
โดย ดร. ธนัยวงศ์ กีรติวานิชย์
อาจารย์ประจำภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
หลังจากที่ได้รู้จักกับตราสารอนุพันธ์กันมาพอสมควรแล้ว ในบทความตอนต่อไปนี้เราจะมาดูกันว่า ตราสารอนุพันธ์มีประโยชน์อย่างไรบ้าง โดยทั่วไปแล้ว ตราสารอนุพันธ์มักถูกนำมาใช้สำหรับ
· สะท้อนให้เห็นถึงราคาของสินทรัพย์อ้างอิง หรือตัวแปรอ้างอิงในอนาคต (Price Discovery) เนื่องจากเป็นราคาที่เกิดขึ้นจากการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของผู้ประกอบการ และผู้เชี่ยวชาญในตลาดนั่นเอง ทั้งนี้การทราบข้อมูลราคาในอนาคตจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำมาใช้ในการพยากรณ์การผลิตได้ ยกตัวอย่างเช่น สินค้าเกษตร ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่มักจะนิยมใช้ราคาสินค้าในอดีตมาเป็นเครื่องมือสำหรับพยากรณ์การผลิตในอนาคต ปีใดที่สินค้าเกษตรมีปริมาณมาก ราคาก็จะถูกลง ทำให้ปีถัดไปเลือกที่จะผลิตน้อยลง ในทางกลับกัน ปีไหนที่สินค้าเกษตรมีน้อย ราคาก็จะสูงขึ้น และปีถัดไปก็จะเลือกผลิตมากขึ้นตาม ส่งผลให้ปริมาณสินค้าเกษตรที่ผลิตอาจไม่ตรงกับความต้องการสินค้าที่เกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น เมื่อมีการเจรจาตกลงทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงราคาของสินค้าเกษตรในอนาคต ตลอดจนมีการเผยแพร่ข้อมูลราคาล่วงหน้าในสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หรือเวปไซด์ของตลาดล่วงหน้าเอง ก็ย่อมทำให้เกษตรกรสามารถนำเอาข้อมูลราคาล่วงหน้านี้มาใช้ในการพยากรณ์การผลิตของตนได้
· ป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์อ้างอิง โดยในที่นี้จะขอยกตัวอย่างเฉพาะกรณีของฟอร์เวิร์ด และฟิวเจอร์สเท่านั้นเพื่อให้ง่ายแก่ความเข้าใจ ขอเริ่มต้นที่กรณีของฟอร์เวิร์ดก่อนละกันครับ ตัวอย่างเช่น โรงสีข้าวแห่งหนึ่งตกลงที่จะซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรเพื่อนำมาใช้ในการผลิต โดยถ้าเป็นการซื้อขาย และส่งมอบกันในทันที จะเรียกว่า การทำธุรกรรมซื้อขายแบบทันที (Spot Transaction) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาของข้าวเปลือกมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ถ้าโรงสีคาดว่า ราคาข้าวเปลือกจะสูงขึ้น และได้ตัดสินใจทำฟอร์เวิร์ดเพื่อซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ทั้งสองฝ่ายก็จะตกลงกันถึงคุณภาพของข้าวเปลือก จำนวนที่ต้องการซื้อขาย ราคาข้าวเปลือกที่จะทำการซื้อขายล่วงหน้า (Forward Price) ตลอดจนระยะเวลาสำหรับชำระราคา และส่งมอบในอนาคต (Settlement and Delivery Date) ซึ่งในที่นี้สมมติ ให้ราคาซื้อขายล่วงหน้าเท่ากับ 100 บาทต่อถุง โดยสัญญาจะครบกำหนดในอีก 1 เดือนข้างหน้า ทีนี้ หากปรากฎว่า ในเดือนหน้าราคาข้าวเปลือกสูงขึ้นเป็น 120 บาทต่อถุง เนื่องจากความแห้งแล้ง โรงสีข้าวก็เพียงแค่ชำระราคาค่าข้าวเปลือก 100 บาทต่อถุง ตามที่ตกลงกันในสัญญาเท่านั้น ในทางกลับกัน เกษตรกรซึ่งอาจคาดว่า ราคาข้าวเปลือกจะลดต่ำลง และได้ตัดสินใจทำฟอร์เวิร์ดเพื่อขายข้าวเปลือกให้แก่โรงสีตามเงื่อนไขสัญญาข้างต้น หากเดือนหน้า ราคาข้าวเปลือกลดต่ำลงเป็น 80 บาทต่อถุง เนื่องจากมีฝนชุกทั้งปี เกษตรกรก็จะได้รับชำระราคาค่าข้าวเปลือก 100 บาทต่อถุง ตามที่ได้ตกลงล่วงหน้าในสัญญานั้น เป็นการป้องกันความเสี่ยงในขาลงของราคาข้าวเปลือกนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ถ้าการคาดการณ์ราคาไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ อย่างเช่น กรณีที่โรงสีข้าวคาดว่าราคาข้าวเปลือกจะสูงขึ้น จึงทำฟอร์เวิร์ดเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่อาจสูงขึ้นในอนาคตนี้ แต่ปรากฎว่า ราคาข้าวในอนาคตกลับลดลงต่ำกว่าราคาที่กำหนดไว้ในสัญญา โรงสีก็ต้องจ่ายชำระค่าข้าวเปลือกแพงกว่าราคาที่ได้ระบุในฟอร์เวิร์ดเอาไว้ ในทางกลับกัน สำหรับเกษตรกรที่คาดว่าราคาข้าวเปลือกจะลดลง จึงเลือกที่จะทำฟอร์เวิร์ดเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่อาจลดลงนั้น แต่หากราคาข้าวในอนาคตกลับสูงขึ้นแทน เกษตรกรย่อมเสียโอกาสในการที่จะขายข้าวในราคาตลาดที่สูงขึ้นนี้ แต่กลับต้องขายในราคาที่ระบุไว้ล่วงหน้าตามสัญญานั่นเอง จากตัวอย่างข้างต้นนี้ สังเกตได้ว่า ฟอร์เวิร์ดไม่สามารถขจัดความเสี่ยงทั้งหมดออกไปได้ แต่สามารถใช้ป้องกัน หรือลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าได้เฉพาะกรณีที่คาดการณ์ถูกต้องเท่านั้น ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างสำหรับกรณีของฟิวเจอร์สกันบ้าง สมมติว่า โรงสีข้าว ต้องการซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรเพื่อนำมาใช้ในการผลิต และคาดการณ์ว่าราคาข้าวเปลือกในอนาคตจะมีแนวโน้มสูงขึ้นเหมือนเช่นข้างต้น แต่ตัดสินใจป้องกันความเสี่ยงโดยทำธุรกรรมซื้อขายในตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Futures Market) แทน ทั้งนี้สิ่งที่โรงสีต้องทำก็คือ ไปเปิดบัญชีซื้อขายกับบริษัทนายหน้าที่เป็นสมาชิกของตลาดเสียก่อน หลังจากนั้นจึงพิจารณาหาสัญญาล่วงหน้าที่เป็นมาตรฐาน ตลอดจนราคาที่เหมาะสมตรงกับความต้องการของตน แล้วจึงส่งคำสั่งซื้อข้าวเปลือกไปยังนายหน้าของตน ซึ่งนายหน้าก็จะทำการส่งคำสั่งซื้อที่ได้รับต่อไปยังระบบซื้อขายของตลาดล่วงหน้า ในขณะเดียวกัน เกษตรกรซึ่งต้องการขายข้าวเปลือกล่วงหน้า ก็ต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายกับบริษัทนายหน้า หาสัญญา และราคาที่เหมาะสมกับความต้องการของตน ตลอดจนส่งคำสั่งขายข้าวเปลือกผ่านนายหน้าของตนไปยังระบบซื้อขายของตลาดเช่นเดียวกัน ในที่นี้ขอสมมติ ให้ราคาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Price) ที่ทั้งสองฝ่ายยื่นคำสั่งซื้อขายเข้ามายังตลาด คือ 100 บาทต่อถุง โดยสัญญาจะครบกำหนดในอีก 1 เดือนข้างหน้า ตรงนี้จะสังเกตได้ว่า ประการแรก เนื่องจากเป็นการซื้อขายในตลาดล่วงหน้าที่เป็นทางการ ลักษณะของสัญญาจึงเป็นมาตรฐานไม่ยืดหยุ่นเหมือนกับกรณีของฟอร์เวิร์ด ประการที่สอง ทั้งโรงสี และเกษตรกรต่างก็ต้องจ่ายชำระค่าธรรมเนียม (Brokerage Fee) ให้แก่บริษัทนายหน้าของตนเป็นการตอบแทน และประการสุดท้าย ราคาที่ทำการซื้อขายล่วงหน้าจะเป็นไปตามกลไกตลาด โดยหากมีผู้ต้องการขายข้าวเปลือกในอีก 1 เดือนข้างหน้าเป็นจำนวนมาก ราคาล่วงหน้าของข้าวเปลือกก็ย่อมต่ำลง ในทางกลับกัน หากมีผู้ต้องการซื้อข้าวเปลือกเพิ่มมากขึ้นในอีก 1 เดือนข้างหน้า ราคาล่วงหน้าของข้าวเปลือกก็จะสูงขึ้น ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของทั้งผู้ซื้อ และผู้ขายที่จะต้องหาสัญญา และราคาที่เหมาะสมกับความต้องการของตนให้ได้ หลังจากนั้น เมื่อมีการคำสั่งซื้อขายมายังตลาดแล้ว ระบบซื้อขายของตลาดก็จะทำการจับคู่ราคาซื้อขายข้าวเปลือกที่ส่งเข้ามา เกิดเป็นธุรกรรมการซื้อขายฟิวเจอร์สที่สมบูรณ์ในที่สุดนั่นเอง นอกจากนี้ในการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์ส ทั้งผู้ซื้อ และผู้ขายต่างต้องทำการส่งมอบเงินประกัน หรือ สินทรัพย์ค้ำประกันให้แก่บริษัทนายหน้าที่ตนได้เปิดบัญชีไว้ โดยจะมีการปรับมูลค่าวงเงินประกันตามราคาตลาดของสัญญาทุกสิ้นวันทำการ เพื่อให้สัญญานั้นมีมูลค่าตามตลาด (Mark to Market) เสมอ ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของการวางเงินประกันนี้ ผมจะอธิบายถึงอย่างละเอียดในบทความตอนต่อไป ขอกลับมาที่ตัวอย่างของเรากันต่อดีกว่าครับ เนื่องจากโรงสีข้าวคาดว่าราคาข้าวเปลือกมีแนวโน้มสูงขึ้น ในขณะที่เกษตรกรคาดว่าราคาข้าวเปลือกจะลดต่ำลง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา ต่างฝ่ายจึงเข้ามาทำธุรกรรมในตลาดล่วงหน้าที่ราคา 100 บาทต่อถุง โดยจะครบกำหนดสัญญาอีก 1 เดือนข้างหน้า เปรียบเสมือนกับเป็นการล็อคราคาที่ต่างฝ่ายต้องการเอาไว้ก่อนล่วงหน้านั่นเอง ทีนี้หากปรากฎว่า ในเดือนหน้าราคาข้าวเปลือกสูงขึ้นกว่าราคาล่วงหน้าที่ระบุไว้ในสัญญา โรงสีข้าวก็เพียงแค่ชำระราคาค่าข้าวเปลือกตามราคาที่ตนได้ล็อคไว้ในสัญญาเท่านั้น ในทางกลับกัน หากราคาข้าวเปลือกลดต่ำลงกว่าราคาล่วงหน้า เกษตรกรก็จะได้รับชำระราคาข้าวเปลือกตามราคาที่ตนได้ล็อคเอาไว้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ฟิวเจอร์สก็ไม่สามารถขจัดความเสี่ยงทั้งหมดออกไปได้เช่นเดียวกันกับฟอร์เวิร์ด โดยสามารถใช้ป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้เฉพาะกรณีที่คาดการณ์ถูกต้องเท่านั้น สำหรับออปชัน และสัญญาสวอปที่ค่อนข้างมีความซับซ้อนนั้น ก็ใช้แนวคิดในการป้องกันความเสี่ยงเดียวกันกับตัวอย่างข้างต้น แต่จะไม่ขอกล่าวถึงในบทความนี้ครับ
· สร้างรายได้ (Income Generation) เนื่องจาก ตราสารอนุพันธ์ถือได้ว่าเป็นทางเลือกของการลงทุนที่น่าสนใจอีกทางเลือกหนึ่ง โดยเฉพาะประเภทที่ซื้อขายในตลาดล่วงหน้าที่เป็นทางการ และมีสภาพคล่องสูง ทั้งนี้นักลงทุนสามารถสร้างรายได้จากการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ได้ 2 วิธีหลักๆ ดังต่อไปนี้
o การเก็งกำไร (Speculation) เป็นการทำกำไรจากส่วนต่างจากความผันผวนของราคาในอนาคต โดยหากนักลงทุนสามารถเก็งราคาได้ถูกต้องก็จะมีกำไร แต่หากเก็งผิดพลาดก็ย่อมที่จะขาดทุนนั่นเอง ในที่นี้ขอยกตัวอย่างกรณีของฟิวเจอร์สซึ่งซื้อขายในตลาดที่เป็นทางการ และมีสภาพคล่องสูง สมมติว่า นักลงทุนรายหนึ่งคาดการณ์ว่า ราคาข้าวเปลือกมีแนวโน้มจะสูงขึ้นในอนาคต จึงเข้ามาซื้อฟิวเจอร์สซึ่งจะมีอายุครบกำหนดอีก 3 เดือนข้างหน้าที่ราคาล่วงหน้า 100 บาทต่อถุง หากราคาตลาดในอีก 1 เดือนข้างหน้าสูงขึ้นเป็น 120 บาทต่อถุง นักลงทุนอาจเลือกที่ถือครองฟิวเจอร์สต่อไปจนครบกำหนด หรือจะทำการปิดฐานะ (Offset) ของตนเองลงโดยการขายฟิวเจอร์สที่เหมือนกัน และเก็บกินกำไรส่วนต่างที่ 20 บาทต่อถุงเลยก็ได้ ทั้งนี้ก็เพราะโดยหลักการแล้ว การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงนั้นแต่อย่างใด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นักลงทุนรายนี้จะไม่มีส่วนในการเป็นเจ้าของข้าวเปลือกที่นำมาใช้เป็นสินทรัพย์อ้างอิงนั้นจวบจนกว่าจะครบกำหนดสัญญา และได้รับมอบสินค้า ทีนี้ลองคิดดูง่ายๆ ว่า หากนักลงทุนเลือกที่จะรอจนครบกำหนดสัญญา โดยสมมติว่าราคาตลาดยังคงอยู่ที่ 120 บาทต่อถุง นักลงทุนไม่เพียงแต่มีหน้าที่ต้องชำระราคา และรับมอบข้าวเปลือกจากทางเกษตรกร หากยังมีต้นทุนในการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ถ้าจำนวนข้าวเปลือกที่รับมอบเป็นเพียงแค่ถุงสองถุงก็น่าจะพอไหว แต่ตามมาตรฐานของฟิวเจอร์สส่วนใหญ่แล้วสินทรัพย์อ้างอิงจะมีจำนวนหน่วยที่ส่งมอบขนาดใหญ่มาก หากนักลงทุนไม่มีคลังสินค้าที่มีพื้นที่เก็บเพียงพอก็คงจะประสบกับปัญหาเป็นแน่แท้ และหากนักลงทุนไม่สามารถหาผู้รับซื้อต่อในขณะนั้นได้ปัญหาก็จะยิ่งไปกันใหญ่เลยละครับ ทีนี้ลองมาดูกรณีที่ราคาตลาดในอนาคตของข้าวเปลือกไม่ได้สูงขึ้นแต่กลับลดลงเหลือ 80 บาทต่อถุงแทน นักลงทุนย่อมที่จะทำการปิดฐานะของตนเองลง และแบกรับกับผลขาดทุนที่เกิดขึ้นเนื่องจากไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากเก็งราคาผิด ก็รับความเสี่ยงไปเต็มๆ นั่นเองครับ อย่างไรก็ตามไม่ได้มีเพียงแต่นักลงทุนที่สามารถใช้ตราสารอนุพันธ์ในการเก็งกำไรได้เท่านั้น ตัวเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง หรือเกษตรกรเองก็สามารถนำตราสารอนุพันธ์มาใช้ในการล็อคราคาเพื่อเก็งกำไรได้ด้วยเช่นกัน
o การค้ากำไร (Arbitrage) เป็นการทำกำไรจากความแตกต่างของราคาสินทรัพย์อ้างอิงในตลาดต่างๆ ซึ่งโดยหลักการแล้ว สินทรัพย์ใดๆ ควรมีเพียงราคาเดียวไม่ว่าจะซื้อขายอยู่ในตลาดใดก็ตาม หากมีการค้นพบว่าราคาของสินค้านั้นในแต่ละตลาดมีความแตกต่างกันเกิดขึ้น นักค้ากำไร (Arbitrager) ก็จะเข้าไปซื้อสินค้านั้นในตลาดที่เสนอราคาถูกกว่า แล้วจึงนำไปขายต่อยังตลาดที่ให้ราคาสูงกว่านั่นเอง แนวคิดนี้ก็ถูกนำมาใช้กับตราสารอนุพันธ์เพื่อทำกำไรได้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น หากราคาข้าวเปลือกที่ซื้อขายกันในตลาดฟิวเจอร์สอีก 1 เดือนข้างหน้ามีราคาล่วงหน้าเท่ากับ 100 บาทต่อถุง ในขณะที่ราคาข้าวเปลือกที่เกิดขึ้นจากการตกลงทำสัญญาฟอร์เวิร์ดกันเองระหว่างคู่สัญญา ซึ่งมีกำหนดส่งมอบภายในวันเดียวกันในอนาคตมีกลับมูลค่าเท่ากับ 102 บาทต่อถุง สังเกตุได้ว่า ณ วันเดียวกันในอนาคต ราคาของข้าวเปลือกในตลาดฟิวเจอร์ส และที่ระบุไว้ในสัญญาฟอร์เวิร์ดไม่เท่ากัน ทำให้เกิดโอกาสในการทำกำไรขึ้น โดยนักค้ากำไรจะเข้าไปซื้อฟิวเจอร์สของข้าวเปลือกที่ราคา 100 บาทต่อถุง ในขณะเดียวกันก็จะเข้าทำสัญญาฟอร์เวิร์ดเพื่อขายข้าวเปลือกที่ 102 บาทต่อถุง เก็บกำไรเข้ากระเป๋า 2 บาทต่อถุงโดยไม่มีความเสี่ยงเลย อย่างไรก็ตาม ถ้ามีผู้ทำธุรกรรมลักษณะเช่นนี้เป็นจำนวนมาก ราคาข้าวเปลือกในตลาดฟิวเจอร์สก็จะลดลง ในทางกลับกันราคาข้าวเปลือกของฟอร์เวิร์ดก็ย่อมที่จะเพิ่มขึ้น จนกระทั่งราคาของข้าวเปลือกทั้งฟิวเจอร์ส และฟอร์เวิร์ดกลับเข้าสู่ดุลยภาพ คือ มีมูลค่าเท่ากัน ทำให้ในที่สุดโอกาสในการทำกำไรก็จะหมดไปนั่นเอง
ถึงตรงนี้คงได้เห็นประโยชน์ของการนำตราสารอนุพันธ์มาใช้กันแล้ว ในตอนต่อไปผมจะอธิบายให้เห็นถึงกลไกการการทำงานที่จำเป็นของตลาดอนุพันธ์กันครับ