4 OCTOBER 2006
ท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีฟ้าเสมอ
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส เป็นสีฟ้างดงาม ก้อนเมฆเรียงตัวกันเป็นเส้นโค้งสุดปลายขอบฟ้า แสงแดดยามเช้าที่สาดส่อง เห็นเป็นลำแสงผ่านหมู่เมฆลงมา ราวกับเทพพระเจ้ากำลังลงมาจุติ ลมเย็นจากหน้าหนาวพัดผ่านร่างกายไปอย่างรวดเร็ว กระทบผิวหนังที่แห้งผาก คงเป็นเพราะความเย็นจากอากาศได้ดูดกลืนความชื้นจากผิวกาย กลุ่มหมอกที่หนาวเย็นลอยตามลมที่พัดค่อนข้างเร็ว กลิ่นจากต้นหญ้าต้นเล็กๆที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างลอยมากระทบจมูก ดอกไม้รอบๆต่างเบ่งบานเพื่อรับแสงจากดวงอาทิตย์ แต่หากมองดูดีๆจะเห็นเกร็ดน้ำแข็งเล็กๆเกาะอยู่ นี่สินะที่ชาวเหนือเรียกว่า แม่คนึง ความหนาวเย็นยามเช้าที่สามารถทำให้น้ำแข็งตัวได้ แต่บัดนี้ความหนาวเย็นยามสายไม่เกินกำลังที่ร่างกายจะทนได้ ผมและเธอนั่งจับมือกันอยู่บนท่อนไม้ท่อนใหญ่ที่ถูกจัดเป็นที่นั่ง พร้อมผ้าห่มผืนโตที่ห่อหุ้มร่างกายของเราทั้งสองไว้ด้วยกัน จิบกาแฟอุ่นๆ ครู่นึงคงต้องขอบคุณความหนาวที่ทำให้เธอค่อยๆ โน้มตัวมาให้ผมโอบ มือข้างซ้ายของผมยังคงถือแก้วกาแฟที่เมื่อครู่นี้ร้อนจัดจนแทบถือไว้ไม่ได้ มือข้างขวาโอบเธอไว้ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่กัน เพียงแต่วินาทีนี้สิ่งที่อบอุ่นที่สุดคือภายในจิตใจเบื้องลึกของผมนั่นเอง กลิ่นหอมของเธอราวกับดอกไม้ยามเบ่งบาน ความสดชื่น ทำให้ร่างกายของผม ลืมความเหนื่อยล้าจากการมุ่งมั่นต่อสู้ทำงานไปสิ้น
มองเบื้องหน้า ทะเลหมอกอันหนาวเหน็บที่กว้างใหญ่ไพศาล สลับกับทิวเขาเล็กใหญ่ เสียงน้ำตกที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ พร้อมทั้งเสียงสัตว์ป่านานาชนิด นกน้อยใหญ่บนวนไปวนมา ส่งเสียงร้อง จิ๊บๆ ๆและอีกหลายเสียงที่คงจะเป็นเสียงที่แปลกสำหรับคนกรุงอย่างผม
เธอแหงนมองหน้าผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดๆอีกแล้วในเวลานี้ ดวงตากลมโต แววตาที่สดใสราวกับไข่มุกในท้องทะเลของเธอ ใบหน้าที่ขาวเนียนไร้ร่องรอยใดๆ รอยยิ้มจากริมฝีปากสีชมพูที่อิ่มเอิบ สามารถสื่อความหมายมากมายเกินจะบรรยายได้ด้วยคำพูดใด ภาษากาย ผมนึกถึงคำนี้ และเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งวันนี้เอง ผมอยากจะหลุดเวลาแห่งจักวารทั้งปวงไว้เพียงเวลานี้ หยุดเธอไว้ในอ้อมแขนของผม หยุดเวลาไว้ตลอดไป............
เสียงกริ่งเตือนปิดประตูรถไฟฟ้าใต้ดิน ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด ภาพของความฝันเมื่อครู่ได้มลายหายไปสิ้น จินตาการ ไม่สิ ภาพเมื่อครู่นี้ราวกับผมสามารถสำผัสมันได้ด้วยตัวเอง กลิ่นของเธอยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก ความอบอุ่นที่ราวกับถูกหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวเมื่อครู่นี้มันอะไรกัน พักนี้ผมจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนเวลาปัจจุบันได้หยุดนิ่ง แล้วมีบางสิ่งบางอย่างฉุดดึงผมไปสู่อีกโลกนึง โลกซึ่งอยู่ในจินตนาการเบื้องลึกของผมเอง โลกที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ตลอดไป โลกแห่งธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีมือถือที่เป็นกำแพงการสื่อสารของมนุษย์สมัยใหม่ ไม่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาเพื่อทำลายล้างมนุษย์ด้วยกันเองอย่างช้าๆ โลกที่ปราศจากงานและการแก่งแย่งชิงดิงเด่นกัน เหมือนสมัยก่อนที่บรรพบุรุษเราดำเนินชีวิตกันมาอย่าเรียบง่าย สังคมแบบญาติมิตร เพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันราวกับเป็นญาติพี่น้อง ทุกสิ่งทุกอย่างต่างปราณีตงดงามโดยเฉพาะ งานศิลปะแบบไทยๆ เพราะมีเวลาให้คิดประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ได้มากมายก่ายกอง ตามแบบฉบับ ภูมิปัญญาชาวบ้านโดยแท้
หลังจากผมขึ้นจากสถานีรถไฟฟ้าเพชรบุรี ปรากฏความมืดมิดของท้องฟ้า พร้อมทั้งเม็ดฝนที่โปรยปรายไม่ขาดสาย กลุ่มก้อนเมฆสีดำเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วเบื้องบน แสดงให้เห็นว่าฝนที่โปรยปรายอยู่เวลานี้ ไม่ใช่ฝนปกติอย่างทุกวัน นี่มัน พายุนี่ ผมบอกกับตัวเอง
ผมวิ่งฝ่าฝนไปด้วยความเร็ว ในใจหวังว่าคงถึงออฟฟิศก่อนที่ฝนจะแรงกว่านี้ แต่เม็ดฝนที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ ทำให้เสื้อผ้าที่เคยแห้งเมื่อครู่เปียกโชกไปด้วยน้ำราวกับเหงื่อ แต่เวลานี้คงไม่มีใครคิดว่าเป็นเหงื่อแน่นอน
ผมหยุดเดินเพราะคิดว่าวิ่งต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ เหตุเพราะตอนนี้เสื้อผ้าได้เปียกไปหมดแล้ว ทางเลือกเดียวที่จะสามารถทำได้ตอนนี้คือ โทรไปลางานซะแล้วก็กลับบ้านเปลี่ยนชุด จากนั้นก็พักผ่อนให้เต็มที่กับวันฝนพรำ วันที่ไร้ซึ่งแสงอาทิตย์สาดส่อง วันที่บรรยากาศอึม ครึมไม่สดใสเหมือนในความฝัน ซึ่งผม แทบแยกไม่ออกว่าเป็นความฝันหรือเป็นอีกโลกนึงกันแน่ แต่เท่าที่รู้ตอนนี้งานไม่สำคัญต่อผมอีกต่อไป ผมอยากให้ตัวเองคิดได้อย่างงี้ทุกวันจังเลย นี่หละความสุขของมวลมนุษย์โดยแท้ หากแต่วันอื่นๆกลับเป็นอีกโลกนึง โลกแห่งการทำงาน
mio' S. Toranong.
6 October 2007