ขึ้นต้นชื่อเรื่องมาแบบนี้ กลัวว่าจะไม่มีใครเข้ามาอ่าน เพราะในสภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก ว่า มีเงินเหลือเก็บ เหลือใช้ แต่เดี๋ยว...ใจเย็น ๆ ครับ ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะขอยืมเงินอันเป็นที่รักของท่านผู้อ่านหรอกนะครับ แต่ในโอกาสนี้ เราจะมาคุยกันถึงเรื่อง การสร้างโอกาส เพื่อให้เงินที่ไม่ได้ใช้ สามารถสร้างรายกลับเข้ากระเป๋า โดยการนำเงินไปลงทุน
การลงทุนก็มีอยู่มากมายหลายอย่าง เปรียบเทียบได้กับเมนูในร้านอาหาร นักลงทุนก็เหมือนลูกค้า ที่ชอบอย่างไหน ก็เลือกสั่งกันได้ตามสบาย แต่ในความเป็นจริง ความชอบอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องมี ความรู้ความเข้าใจ ในเครื่องมือที่เราจะเข้าไปเสี่ยง และมีความพร้อมหลาย ๆ ด้าน ทั้งในด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ และ ยอมรับกับความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เพราะการลงทุน เป็นการนำเงินไปไว้ในที่ ๆ มีความเสี่ยง เพื่อเพิ่มมูลค่า ในขณะที่การเก็บออม คือการนำเงินไปไว้ในที่ ๆ ปลอดภัย (ยืมคำพูดเขามา ต้องขออนุญาตมา ณ.ที่นี้)
ในสมัยเด็ก ๆ ผู้เขียนได้รับเงินค่าขนมจากทางบ้านเป็นประจำทุกวัน เพื่อใช้จ่ายระหว่างที่อยู่นอกบ้าน (เรียนหนังสือ) รายจ่ายประจำวันก็เป็นเรื่องของ อาหาร ค่ารถ ค่าเรือ คือ รายจ่ายปราะจำที่เราสามารถที่จะใช้จ่ายได้หมดพอดีในแต่ละวัน ถือเป็นเรื่องดี เพราะว่าเป็นการฝึกวินัยการใช้เงิน หากใช้ผิดจุดประสงค์อาจไม่มีเงินเพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นกว่า โตขึ้นมาอีกหน่อย ทางบ้านเริ่มที่จะให้เงินเป็นอาทิตย์ เป็นจำนวนเงินที่มากขึ้น ในช่วงแรกที่ยังปรับตัวไม่ได้ พอมีเงินก้อนอยู่ในกระเป๋าก็อยากจะใช้ เมื่อเงินหมดจึงต้องทำงานบ้านเพื่อแลกกับค่าจ้างซึ่งเป็นเงินคนละส่วนกับเงินได้เปล่า ... สังคมกว้างขึ้น ได้เห็นเพื่อน ๆ มีของเล่นแปลก ๆ ด้วยความอยากได้ จึงยอมที่จะกันเงินไว้ส่วนหนึ่ง โดยคุณภาพชีวิตไม่ได้ตกต่ำไปกว่าเดิมมากมาย เก็บสะสมจนกระทั่งได้ครอบครองในที่สุด
ประสบการณ์ในช่วงวัยเด็ก เน้นการออมเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง โดยมีรายได้จาก ค่าขนม ที่ได้รับจากบ้าน ผลพลอยได้คือ "รู้คุณค่าของเงิน " และมีวินัยในการใช้จ่าย แต่ไม่รู้จักเครื่องมือลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องซับซ้อน และยุ่งยากสำหรับเด็ก อย่างเก่งก็ฝากประจำเพื่อหวังเงินดอกเบี้ยที่ออกปีละสองครั้ง เรื่องเก่าที่เอามาเล่าสู่กันฟัง เป็นความทรงจำที่งดงาม ของผู้เขียน
ความรู้จักตนเอง ในเรื่องของความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง ก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ เพราะต้องไม่ลืมว่า เงินส่วนที่จะนำไปลงทุน สู้อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมานาน หากจู่ ๆ อันตธารหายไป...คงไม่มีใครร่วมรับผิดชอบด้วย นอกจากตัวท่านเอง เพราะการตัดสินใจสุดท้ายท่านเป็นคนตัดสินใจเอง ... แต่ถ้าพร้อมที่จะเสี่ยง Hight Risk , Hight Return เสี่ยงน้อยผลตอบแทนน้อย เสี่ยงมาก ผลตอบแทนอาจจะมากหรือน้อย ...ก็ตัวใครตัวมันล่ะครับ
เครื่องมือในการลงทุนมีอยู่มากมาย แต่ถ้าจะถามถึงเรื่องของเครื่องมือที่มีความคล่องตัว มากที่สุด คงหนีไม่พ้น การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หรือที่นิยมพูดกันว่า "เล่นหุ้น" นั่นแหละครับ เครื่องมืออื่น ๆ นั่น สภาพคล่อง หรือ ความไกล้เคียงกับเงินสด น่าจะน้อยกว่าหุ้น เพราะหุ้นเพียงแค่ขายไป เงินสดก็จะเข้าบัญชีของเราภายในสามวัน (T + 3) ส่วนท่านที่สนใจการลงทุนในหุ้น แต่ยังขาดความรู้ความเข้าใจ เขาก็มีนักลงทุนเก่ง ๆ มาดูแลเงินของท่าน โดยการซื้อ "กองทุน" ที่ท่านเชื่อใจ ซึ่งแต่ละกองทุน ก็จะมีนโยบายที่จะเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่แตกต่าง โดยจะระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนให้ท่านได้ลองศึกษาก่อนตัดสินใจลงทุน
แต่สำหรับท่านที่มีความรู้ความเข้าใจ ในการลงทุนหุ้นเป็นอย่างดี การเข้ามาลงทุนเองผ่าน บริษัทที่ให้บริการส่งคำสั่ง ซื้อ - ขาย (โบรกเกอร์) ก็ตื่นเต้นดีไปอีกอย่าง กำไร ขาดทุน เป็นเรื่องที่ตัดสินใจเอง ไม่ต้องโทษคนอื่น ซึ่งนักลงทุนยังมีประเภท ลงทุนระยะยาว ระยะกลาง ระยะสั้น และ ระยะสั้นมาก (รายนาที) อย่างหลังน่าจะเรียกว่า นักเก็งกำไร ซึ่งหากไม่มีข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ ซื้อ - ขาย อาจมีความเสี่ยงเทียบเท่าการพนัน ส่วนการลงทุน ระยะยาว ในขณะที่ตลาดกำลังเป็นขาลง ก็มีความเสี่ยงที่ทุนจะสูญเช่นกัน
ผู้เขียนเคยพลาดพลั้งจากการลงทุนระยะสั้น(มาก ๆ) เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจจวบจนปัจจบัน แต่ก็ยังไม่เข็ด เพราะยังคงหลงไหล การลงทุนหุ้น แต่ขอใช้บทเรียนราคาแพงครั้งนั้นมาปรับปรุงใหม่ เพราะโอกาสทองในตลาดทุน ยังคงรอคอยผู้ที่พร้อมที่จะเสี่ยง อย่างมีเหตุผลอยู่ตลอดเวลา (ทำการ ) ... ขอสรุปว่า การลงทุนเป็นเรื่องที่ต้อง ตระหนักรู้ เป็นโอกาสที่ไม่ควรมองข้าม และ เมื่อใดที่เงินยังอยู่ในกระเป๋า ท่านก็ยังไม่เสี่ยง!! (หากไม่คิดเรื่อง เงินเฟ้อ) ...โชคดีทุกท่านครับ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง การลงทุนหุ้น เชิญฝากข้อความได้ที่
18 มกราคม 2551
นายวิเศษสิทธิ์ ทองบาง
Value Speculate Investor
|