ความที่ผมเองทำงานรับผิดชอบในด้านการพัฒนาองค์การ โดยเริ่มตั้งแต่การสร้างการเรียนรู้ระบบการบริหารและกลยุทธ์ขององค์การ ให้กับผู้บริหารใหม่ทั้งระดับหัวหน้างานและผู้จัดการแผนก ผมจึงได้รับคำถามอยู่เนืองว่า อะไรหรือคือวิ่งที่จะทำให้องค์การมีผลการดำเนินงานที่ดี หรือมีประสิทธิผลในเชิงการดำเนินงาน
แหม ถามแบบนี้ตอบไม่ง่ายเลยครับ เพราะมัน no single factor คือ ไม่ได้มีปัจจัยเดียวที่จะให้ให้ผลการดำเนินงานขององค์การออกมาดี ตามกรอบทฤษฎีประสิทธิผลองค์การนั้น มีปัจจัยหลากหลายตัวที่ส่งอิทธิพลหรือสามารถใช้พยากรณ์การมีประสิทธิผลขององค์การได้ แต่อย่าพูดเรื่องวิชาการเลยครับ จะต้องมาขึ้นบันไดฟังกันเปล่า ๆ เอาเป็นว่าท่านผู้อ่านท่านใดที่สนใจ ไปอ่านบทความที่ผมนำเสนอเรื่องแนวคิดประสิทธิผลองค์การดูครับ
ผมขอนำเสนอมุมมองแบบส่วนตัวก็แล้วกัน
ขอเริ่มจากแบบนี้ครับ ท่านผู้อ่านคงเคยพบว่า ในแต่ละปี มีหลาย ๆ รอบและหลายสถาบันการศึกษา องค์การเชิงวิชาชีพต่าง ๆ โดยเฉพาะในต่างประเทศ เช่น Harvard Business School (HBS) เป็นต้น จะทำการสำรวจความคิดเห็นของคนทำงานในองค์การที่เป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างผมนี่ล่ะครับ ว่ามองอย่างไรก็สิ่งที่ทำให้องค์การมีประสิทธิผลในการดำเนินงาน หรือมีอะไรบ้างที่ต้องทำแล้วองค์การจะมีผลการประกอบการที่ดี
งานวิจัยพวกนี้ มีประโยชน์มากนะครับ ไม่ใช่ใช้เฉพาะอ้างอิงในงานวิจัยหรืองานเขียนทางวิชาการเท่านั้นนะครับ แต่มันยังช่วยให้เราได้เข้าใจและเห็นภาพว่าองค์การจำนวนไม่น้อยมีปัญหาในการทำงานอย่างไรแม้ว่าองค์การเหล่านั้นต่างก็ต้องการให้เกิดผลการดำเนินงานที่ดี มีผลกำไรว่างั้นเถอะ หากเราเจาะลึกศึกษาในรายละเอียดเป็น case study แล้ว ก็มักจะได้เห็นแง่มุมความคิดและแนวทางวิธีการรับมือกับปัญหามากมายที่เราสามารถนำมาเป็นบทเรียนและใช้ประโยชน์ได้ แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม
รายงานผลการวิจัยของ Gary L. Neilson, Karla L. และ Elizabeth Powers ตีพิมพ์ในวารสาร HBR (Harvard Business Review) เมื่อเดือนมิถุนายน 2551 เป็นตัวอย่างหนึ่งของที่ผมกล่าวถึง ซึ่งช่วยให้เราทราบว่า หลายองค์การที่มุ่งปรับโครงสร้างองค์การโดยไม่คำนึงถึงวิธีคิดและการจัดการเส้นทางการไหลของข้อมูลข่าวสาร (Information Flow) ของข้อมูลภายใน และที่เกี่ยวข้องกับภายนอก มักจะมีปัญหาผลการดำเนินงาน
หรือข้อค้นพบจากงานวิจัยเรื่องหนึ่งที่ได้จากความคิดเห็นจากการสำรวจพนักงานหว่าแสนคน ในพันกว่าองค์การ 50 ประเทศพบว่า ร้อยละ 60 ของพนักงานที่สำรวจบอกว่า แม้องค์การจะมีกลยุทธ์ต่าง ๆ มากหลาย แต่ก็มีไว้ประมาณว่าโก้หรู ไม่ได้นำมาใช้ในการปฏิบัติงานจริง
นี่ล่ะครับ ที่ผมว่า มันคือโลกขอความเป็นจริงที่ผลการวิจัยได้ช่วยให้เราเข้าใจอะไรที่เกิดขึ้นในองค์การ อย่างน้อยก็กลุ่มตัวอย่างของการสำรวจดีขึ้น แล้วย้อนกลับมาสำรวจองค์การของเรา ถ้าถามผมว่า องค์การส่วนใหญ่เป็นแบบนั้นหรือไม่ ผมขอตอบว่า จำนวนมากเป็นแบบที่ว่าครับ คือ มีกลยุทธ์มีแผนงานอะไรมากมายไปหวด แต่ที่ทำจริงให้เกิดผล มีน้อยเหลือเกิน แต่องค์การที่ประสบผลสำเร็จจากผลการดำเนินงานที่ดี มักจะเป็นแบบคิดจริง ทำจริง นั่นเองครับ
ออกนอกเรื่องไปมากแล้ว กลับเข้ามาดีกว่าครับ....
ในความคิดของผม การที่องค์การจะมีผลการดำเนินงานที่ดีนั้น ปัจจัยด้านหลักผมให้กับคนทำงาน รู้ขอบเขตหน้าที่ การตัดสินใจและลงมือปฏิบัติในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบเป็นอย่างดี องค์การที่มีสายการบังคับบัญชาหลายชั้น มีการตัดสินใจหลายระดับ ซับซ้อน วกไปวนมา เหลือมล้ำกันประมาณว่า ตกลงแล้วมันเป็นอำนาจตัดสินใจของใครกันแน่ เท่าที่ผมเจอสรุปได้เลยว่า งานไม่ค่อยเดิน ครับ ยิ่งมีโอกาสที่จะกระทบกระทั่งกันมาก พนักงานก็มักจะประนีประนอมที่จะไม่กระทบกระแทกกันให้เสียความสัมพันธ์ ซึ่งบางทีก็แตกต่างไปจากองค์การขนาดเล็กที่โลดแล่นในธุรกิจเดียวกันแต่จัดการกับเรื่องนี้ได้ดี ก็มักจะมีผลประกอบการที่ดีกว่า ท่านผู้อ่านลองมองดูแล้วคิดอย่างไรครับ
เรื่องต่อไปก็คือ การรู้และบอกข้อมูลสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์การแบบเกื้อกูลกัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริหารระดับต่าง ๆ รวมถึง HR เราด้วยนะครับ ข้อมูลสภาพแวดล้อมนี้ได้แก่ สภาพตลาดและการแข่งขันทางการค้น/ธุรกิจ ในแต่ละพื้นที่เป็นสมรภูมิที่เราเข้าไปช่วงชิงล่ะครับ แต่เป็น red ocean หรือ blue ocean ก็ว่ากันไป
ที่ผมบอกว่า รู้และบอก นั้น ในหลายกรณี serious ครับ ท่านผู้อ่านจะเห็นว่า ในการทำงานจริง ในองค์การจะมีคนที่ใฝ่รู้ และใส่ใจในเรื่องพวกนี้อยู่จำนวนไม่น้อย ในขณะที่พนักงานที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลดังกล่าว เช่น ขาย และการตลาด อาจจะไม่ค่อยไปสนใจอย่างเพียงพอด้วยซ้ำไป และก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่คนที่ใฝ่รู้นั้น มักจะมองว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลพวกนี้ เลยเล่นบท play safe หรือมองว่าธุระไม่ใช่ ไม่อยากเอาเชือกไปผูกเกือกใคร เพราะเกรงว่าจะถูกตำหนิว่า ไม่ใช่เรื่องของแก... หรือ ชั้นรู้แล้วล่ะ... อะไรทำนองนั้น ก็เฉยซะดีกว่า เข้าทำนอง พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
ปัญหามันจะไม่เกิดขึ้นหากคนที่ทำงานเกี่ยวข้อง perform well แต่เมื่อคนที่เกี่ยวข้อง under-perform แล้วทำไมไม่มีช่องทางเปิดรับน้ำใจไมตรีของคนที่เป็นพวกใฝ่รู้ และก็ต้องการให้อะไรดีดีกับองค์การเช่นกัน
ทำไมไม่เปิดกระทู้ให้คนที่มีข้อมูลดีดี ถ่ายทอดความคิดแล้วคนทำงานฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาดนำไปใช้ล่ะครับ ทุกคนก็คือผู้บริโภคไม่ใช่หรือ
และหลายต่อหลายครั้งนี้เอง ที่องค์การก็เสียผลประโยชน์เพราะคิดว่าธุระไม่ใช่.... แล้วก็ส่งผลกระทบไปถึงความสามารถในการแข่งขันขององค์การ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบกับทุกฝ่าย คราวนี้มันจะธุระไม่ใช่หรือเปล่าครับ
ท่านผู้อ่านก็จะเห็นว่า หลายองค์การโดยเฉพาะองค์การสัญชาติญี่ปุ่น มีการนำระบบ suggestion หรือกิจกรรมข้อเสนอแนะมาใช้ ก็พบว่า องค์การได้รับประโยชน์มากขึ้น พนักงานก็มีขวัญกำลังใจทำงานดียิ่งขึ้น
เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการที่คนทำงานโดยตรงอาจจะไม่ทำงานให้ดี การสร้างช่องทางในการติดต่อ ส่งผ่านข้อมูลดีดี หรือจะทำกิจกรรมข้อเสนอแนะ หรืออะไรทำนองนี้บ้าง ผมยังมองไม่เห็นความเสียหาย
ต้นเรื่องว่าไปแล้วมันเกิดจากคนที่ต้องรับผิดชอบงานโดยตรง ไม่ค่อยนำพาที่จะทำงานให้ดี รับผิดชอบงานตามขอบเขตหน้าที่ของตัวขาดตกบกพร่องไป
อีกเรื่องที่ผมคิดว่าสำคัญต่อผลการดำเนินงานขององค์การนั้น ผมขอเจาะจงลงมาที่คนทำงานครับ คือ เรื่องสำนึกรับผิดชอบ พนักงานควรจะได้รู้ว่า เขามีส่วนสำคัญและส่งผลกระทบต่อความสำเร็จขององค์การเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าเขาจะรับผิดชอบงานด้านใด ใน core business หรือในกลุ่ม support function การรับรู้ถึงผลกระทบจากตัวเขาที่มีต่อองค์การนี้ หากจะให้ดี ควรจะเกิดขึ้นควบคู่กับความเข้าใจและความชัดเจนในความเชื่อมโยงของงานของเขากับงานของคนอื่นในกระบวนการทำงาน ซึ่งก็คือเรื่องแรกที่ผมนำเสนอท่านผู้อ่านไปแล้ว การรู้แบบนี้ จะช่วยให้เรามุ่งเป้าหมายร่วมกันได้ชัดขึ้นครับ
ผมขอนำเสนอเอาไว้แค่นี้ก่อน และผมเชื่อว่า ท่านผู้อ่านจะนำไปใช้ประโยชน์ได้จากข้อเขียนนี้ และหากจะอ่านต้นฉบับได้ก็จะเป็นการดีที่จะได้รายละเอียดมากขึ้น เพราะตัวผมเองแม้จะเขียนเรื่องพวกนี้มามากพอสมควร แต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถสร้างสูตรสำเร็จเพื่อสอนใครเช่นเดียวกับผู้รู้หลายท่าน ที่ได้สั่งสมประสบการณ์ ความคิด ความรู้มาเนิ่นนานยาวนาน จนตกผลึกเป็นความคิดที่มีคุณค่า ผมเองจึงต้องการเพียงอยากแลกเปลี่ยนมุมมองกับทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านเรื่องน่าสนใจเหล่านี้
จึงขอเชิญชวนทุกท่าน เข้ามาช่วยกันสร้างชุมชนของของการเรียนรู้เพื่อการเป็นมนุษย์งานมือโปรครับ