จากการได้อ่านข่าวทำให้ผมอยากรู้ว่าโรคหนังเน่าระบาด คืออะไร มีวีธีรักษาป้องกันอย่างไร ไปค้นหาข้อมูลให้เพื่อนอ่านกัน
แพทย์ยโสธรห่วงโรคหนังเน่าระบาด-มีผู้เสียชีวิตแล้ว
ยโสธร 24 มิ.ย.- ผอ.โรงพยาบาลยโสธร แนะประชาชนดูแลร่างกายให้สะอาดป้องกันโรคหนังเน่า ปีนี้พบยอดป่วยเพิ่ม มีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย เผยกลุ่มเสี่ยงมักเป็นวัยกลางคน-สูงอายุ พร้อมย้ำห้ามใช้ยาสเตียรอยด์เด็ดขาด
นพ.อดิเกียรติ เอี่ยมวรนิรันดร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยโสธร เปิดเผยถึงโรคหนังเน่า หรือชื่อทางการแพทย์ Necrotizing Fasciitis ว่า โรงพยาบาลยโสธรพบผู้ป่วยโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่งการรักษามีค่าใช้จ่ายสูงประมาณ 50,000 บาท
คน และผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างน้อย 1 เดือน อัตราการดำเนินของโรคค่อนข้างเร็ว จากเดือนตุลาคม 2551 ถึงพฤษภาคม 2552 มีผู้ป่วย 121 ราย เสียชีวิตแล้ว 5 ราย ซึ่งโรคหนังเน่ามักเกิดในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เฉลี่ยพบในผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผู้สูงอายุ และผู้ที่รับประทานยาสเตียรอยด์ เช่น ยาชุด ยาลูกกลอนเป็นประจำ อาการที่สำคัญ คือ มีแผล บวม แดง ร้อน แผลลุกลามเร็วกินลึกเข้าไปถึงชั้นกระดูก หากรักษาไม่ทันจะติดเชื้อในกระแสโลหิตและเสียชีวิตในที่สุด จากการสอบประวัติผู้ป่วยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ผู้อำนวยการ โรง พยาบาลยโสธรแนะว่า โรคหนังเน่าสามารถป้องกันได้ด้วยการรักษาความสะอาดร่างกาย ตัดเล็บให้สั้นและล้างมือให้สะอาด เมื่อเกิดแผล เช่น หนามตำ หรือบาดแผลเล็กน้อยให้ล้างทำความสะอาดบาดแผลด้วยน้ำสบู่ หากมีอาการปวด บวม แดง ร้อน ให้รีบไปพบแพทย์หรือไปสถานีอนามัยใกล้บ้านทันที ที่สำคัญห้ามรับประทานยาชุด ยาลูกกลอนหรือยาสเตียรอยด์ ควรเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยการรับประทานอาหารที่มี ประโยชน์และออกกำลังกายเป็นประจำ.-สำนักข่าวไทย
ที่มา : สำนักข่าวไทย
โรคหนังเน่า(Necrotizing Fasciitis)
เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบเน่าอย่างรุนแรงของผิวหนัง
และเนื้อเยื่อของร่างกาย ลุกลามได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง
มีอัตราการพิการและตายสูง
สาเหตุ
มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดร่วมกัน
ปัจจัยเสี่ยง
1. มีบาดแผลเล็กๆ น้อย นำมาก่อนเช่น มีดบาด ตะปูตำ หนามข่วน สัตว์ มดกัด เป็นต้น แล้วปล่อยปละละเลยทำให้แผลปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป
2.มีภาวะเสี่ยงและภูมิต้าทานไม่ดี เช่น เบาหวาน ไตวาย หลอดเลือดผิดปกติ
มะเร็ง ให้ยาเคมีบำบัด คนสูงอายุ คนอ้วน กินยาชุดหรือดื่มเหล้าเป็นประจำ
เป็นต้น
การรักษา
ระยะแรกมีผิวหนังบวมแดง ปวด มีไข้และขยายไปเรื่อย 2-3
วันต่อมาจะปวดลดลงผิวหนังจะมีสีม่วงคล้ำ หรือมีตุ่มน้ำพองขึ้น
ไข้สูงขึ้นแผลจะขยายและบวมมากขึ้นถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษอาการจะแย่ลง
เรื่อยๆ มีไข้ พูดจาสับสน หรือซึมลงมาก แผลจะม่วงคล้ำขึ้น หายใจหอบ
ช็อกจนทำให้อวัยวะต่างๆ ล้มเหลวได้
ความรุนแรงของโรค
จากการศึกษาจำนวนมาก พบว่า หากปล่อยไว้นานเกิน 24 ชั่วโมง โดยไม่ได้รับการรักษา จะเพิ่มอัตรการตายสูง
โรคนี้จะมีอาการอักเสบติดเชื้อ และลุกลามอย่างรวดเร็ว กินลึกลงไปถึงชั้นกระดูก
ช่วงระยะเวลาที่พบบ่อย
- พบได้ตลอดทั้งปี
-พบมากในเดือน พฤษภาคม - กรกฎาคม
- พบปีละประมาณ 125 คน
เพศ
พบได้ทั้งชายและหญิงเท่าๆ กัน
ตำแหน่งที่เป็น
- ร้อยละ 79 พบที่ขา
- ร้อยละ 17 พบที่แขน
- ร้อยละ 4 พบที่อื่นๆ
ค่ารักษาพยาบาล เฉลี่ยรายละ 30.249 บาท (3,000 - 140,500 บาท)
อัตราการตาย
9-64% แล้วแต่ระยะเวลาของโรคจะสูงมาก ถ้ามีอาการถึงขั้นช็อกแล้ว ซึ่งความล่าช้าในการรักษา จะทำให้อัตราตายเพิ่มสูงขึ้น
การรักษา
การรักษาที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้คือ การผ่าตัดให้เร็วที่สุด
เมื่อเตรียมสภาพผู้ป่วยพร้อมสำหรับการผ่าตัดแล้ว
รวมกับการให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อหลายชนิดร่วมกัน
การผ่าตัดจะทำโดยการ
ตัดหนังที่ตายออกให้หมด เป็นบริเวณกว้าง
บางครั้งต้องผ่าตัดซ้ำอีกหลายครั้ง เพื่อตัดเนื้อเยื่อตายที่เพิ่มขึ้นออก
จนกว่าจะหมด แล้วทำแผลจนดีขึ้นประมาณ 3-4 อาทิตย์
จึงสามารถเอาผิวหนังบริเวณอื่น มาประกบซ่อมแซมบริเวณที่เป็นโรคได้
มีบางรายที่การอักเสบเน่ามาก จนเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อเน่าด้วย
ซึ่งจำเป็นต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นเพื่อรักษาชีวิตไว้
การป้องกัน
1. ระวังอย่าให้มีบาดแผลเกิดขึ้น
2. ควรทำความสะอาดบาดแผล อย่าให้สิ่งสกปรกปนเปื้อนบาดแผล ถ้ามีไข้ บวม ปวดแผลมากขึ้นให้รีบปรึกษาแพทย์
3.เมื่อมีบาดแผลที่เกิดจากวัสดุที่สกปรก เช่นตะปู หนาม
ไม้ที่อยู่ในน้ำเป็นตน ควรกินยาปฏิชีวนะตั้งแต่แรก
รีบปรึกษาแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน ตลอดจนทำความสะอาดแผล
และเฝ้าสังเกตุอย่างใกล้ชิด ว่าจะมีอาการแผลอักเสบติดเชื้อตามมาหรือไม่