ค้นบ่อย
:
หางานบัญชี,
หางานธุรการ,
หางานจัดซื้อ,
หางานผู้จัดการ,
หางานขับรถ,
หางานบุคคล,
หางานคลังสินค้า,
หางานครู,
หางานวิศวกร,
หางานเขียนแบบ,
หางานคีย์ข้อมูล,
หางานการตลาด,
หางานโรงแรม,
หางานสิ่งแวดล้อม,
หางานคอมพิวเตอร์,
หางาน Programmer,
หางานประชาสัมพันธ์,
หางานช่าง,
หางานสถาปนิก |
เรื่อง
พฤติกรรมที่ทำลายอนาคตการทำงานของคุณอย่างไม่รู้ตัว (ตอนที่ 1)
เขียนโดย ชัชวาลย์
|
Rated:
by 3 users |
|
|
|
|
ในช่วงนี้ ที่ทำงานของผมเองรับพนักงานใหม่เข้ามาหลายคน ซึ่งสิ่งที่ HR พึงจะทำในบทบาทหน้าที่ โดยเฉพาะจากมุมมองของผมไม่เพียงแต่จะตั้งหน้าตั้งตาทำการอบรมปฐมนิเทศ โดยพูดถึงเรื่องบริษัท สินค้าหรือบริการขององค์การ โครงสร้าง ระบบการบริหารจัดการ รูปแบบวิธีการบริหาร สวัสดิการสิ่งจูงในการทำงาน เงื่อนไขของการจ้างงาน การทดลองงาน การประเมินผล และอะไรอื่น ๆ ทำนองนี้ ข้อหนึ่งที่ HR ไม่ควรจะจะพลาดผมเองคิดว่าเป็นเรื่อง ที่เราควรจะต้องบอกให้พนักงานใหม่ที่เข้ามาทำงานกับองค์การ โดยเฉพาะสำหรับน้อง ๆ ที่มีประสบการณ์การทำงานไม่นาน หรือนักศึกษาที่เพิ่งจบมาหมาด ๆ ได้รับทราบ และเข้าใจให้หนักแน่นได้แก่เรื่องวิธีการที่จะให้อยู่รอดและผ่านช่วงของการทดลองงานที่แสนหฤหรรษ์ เข้ามาทำงานอย่างเต็มมือกับองค์การไปได้
แต่ผมยังคิดว่า HR ที่จะบอกเคล็ดลับกลเม็ดในประเด็นที่ผมว่าไปแล้ว น่าจะยังมีไม่มากนัก ในส่วนตัวผมที่ต้องรับหน้าที่วิทยากรฝึกอบรมปฐมนิเทศงานให้กับพนักงานใหม่ และนำทีม HR เพื่อทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อสร้างการเรียนรู้ในเชิงทักษะวิชาชีพระหว่างทดลองงาน อันได้แก่การจัดโปรแกรม OJT พนักงานใหม่ เป็นต้น กลับชอบที่จะชี้ให้พนักงานใหม่ทั้งหลายที่เข้ารับการปฐมนิเทศเห็นว่า มีพฤติกรรมอะไรบ้างที่เขาไม่ควรทำ ไม่ควรประพฤติในระหว่างที่ทดลองงาน หรือว่าไปแล้วก็ตลอดระยะเวลาที่เขาเป็นพนักงานขององค์การ ซึ่งมันอาจจะทำให้อนาคตการทำงานของเขาดับวูบลงไปโดยที่รู้เท่าไม่ถึงกับมัน
และในบางที ผมเองก็ใช้วิธีการปฐมนิเทศพนักงานโดยพูดถึงเรื่องทำอย่างไรจึงจะเป็นคนล้มเหลว (loser) ที่ผมเองได้เคยเขียนในเสนอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อให้ที่ผู้เข้ารับการอบรมปฐมนิเทศได้คิด เก็บไปใคร่ครวญ และน่าติดตามระหว่างที่พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ผมเองพบว่า หากจะบอกพนักงานใหม่ว่าคุณจะต้องทำอะไรเพื่อให้ประสบความสำเร็จ หรือจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานบ้าง ก็ดูเหมือนคนไม่ค่อยสนใจ เพราะไม่ค่อยได้คิดตาม แต่พอบอกว่า ทำแบบนี้สิครับ คุณจะเป็นพวกขี้แพ้และองค์การไม่ต้องการคุณแน่นอน ผมกลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่า คนที่รับฟังจะคิดกับเรื่องนี้มากกว่า เพราะไม่มีใครอยากขี้แพ้ หรือไม่ผ่านทดลองงาน จริงมั้ยครับ การเปลี่ยนมุมมองของการฝึกอบรมมาเน้นการสร้างความน่าสนใจจากเรื่องราวที่นำเสนอ มันไม่ใคร่มีสูตรสำเร็จหรอกนะผมว่า.....คงต้องลองให้แน่ว่าอย่างไรจึงจะได้ผลดี...
เข้าทำนองเล่าโนว์ฮาว ให้พนักงานใหม่ฟัง แต่เล่าจากมุมมองที่ท้าทายพนักงานใหม่ ใครจะว่าเป็นการนำเสนอเชิงลบก็ว่ากันไปครับ แต่ผมเองโดยส่วนตัวนั้นคิดว่า มันท้าทายคนให้คิดดี การที่จะนั่งหลับเหมือนนั่งฟังบรรยายคงน้อยแน่แน่ครับ
และครั้นจะเล่าหรือพูดแต่กับน้อง ๆ พนักงานใหม่ ชะรอยว่าอะไรดีดีที่ได้เคยอ่านมาแล้วนำเสนอเป็นความเรียงที่เขียนมาจากความคิดและประสบการณ์นั้น ก็คงเป็นประโยชน์แต่น้อยหรือมีในวงจำกัด ไอ้กระผมนั้นมันคนจำพวกจิตสำนึกเพื่อคนอื่นมีไม่น้อยไม่อายใคร แม้จะไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องชาวบ้านสักเท่าไร จึงอยากจะขอนำเสนอแง่คิดบางเรื่องกับท่านผู้อ่าน
และที่สำคัญที่ผมขอย้ำกับท่านผู้อ่านครับ ขอย้ำว่า ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไรหรอกนะ ไม่มีชื่อเสียงอย่างผู้รู้หลายท่านที่ผมนำมาอ้างอิงและคิดแล้วเขียนต่อจากมุมมองของผม จึงขอให้ท่านผู้อ่าน พยายามติดตามอ่าน ทำความเข้าใจและเรียนรู้จากงานเขียนต้นฉบับอย่างในเรื่องที่ผมจำนำเสนอแบ่งออกเป็นหลายตอนนี้ เรื่องหนึ่งที่ผมนำมาใช้อ้างอิงคืองานเขียนของ Cynthia Sapiro เรื่อง "Corporate Confidential : 50 Secrets your company doesn t want you to know and what to do about them" ชื่อนี่ย๊าวยาว ที่แปรเป็นภาษาไทยก็มีครับ ชื่อหนังสือเก๋มากคือ "ทำอย่างไรไม่ให้ถูกบีบยออกจากงาน"
ไหนไหนจะได้เรียนรู้ทั้งที ก็ต้องเอาดีให้ได้ล่ะครับ
ขอเริ่มต้นแบบนี้ก็แล้วกัน
เรามักจะเข้าใจกันแบบโต้ง ๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานนั้น จะต้องเริ่มจากการเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยทักษะในการทำงาน ทั้งเก่งทั้งเจ๋ง สติปัญญาดีว่างั้นเถอะ หรือไม่ก็มีประสบการณ์การทำงานมหาศาล ก็ไม่ผิดหรอกครับ
ท่านผู้รู้หลายท่านขยายความเอาไว้ว่า เจ้าสิ่งทั้งหลายที่ว่าไปนั้นมันก็ใช่นะ มันเป็นพื้นฐานทีเดียวที่จะต้องมีเลยล่ะ แต่ขอเติมอีกว่า ความสำเร็จนั้น จะตกเป็นรางวัลของคนที่สามารถปรับตัวให้ไปกันได้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์การ ของหน่วยงานของเขาอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
พฤติกรรมบางอย่างที่คุณคิดว่า เอ !! มันก็ธรรมดา ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เช่น งานเข้า 2 โมง มาถึง 7 โมงครั้ง ไปนั่งกินกาแฟ ปาท่องโก๋ก่อนดีกว่า แล้วค่อยกลับเข้ามาทำงานตามเวลาหรือสัก 2 โมง 45 ก็ไม่เป็นไร ใคร ๆ ก็ทำกันแบบนี้ เพราะลงเวลาทำงานตั้งแต่มาถึงที่ทำงานแล้ว กับคนอีกคนหนึ่ง มาถึงที่ทำงานเวลาไล่เลี่ยกัน แต่พร้อมทำงานเลย วางแผนงานว่าจะทำอย่างไร ปรึกษาหรือคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนร่วมงานว่ามีปัญหาอะไร เพื่อจะได้รายงานหัวหน้าและจัดการแก้ไข หากคุณค่าและเนื้องานที่ได้ออกมาจาก 2 คนนี้เท่าเท่ากัน และท่านผู้อ่านเป็นหัวหน้างานที่ดูแลทั้งสองคนนี้ ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่า ท่านผู้อ่านจะเทใจให้กับใคร
และโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมากมาย คนแรกกำลังทำลายอนาคตของตัวเองไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมากเลยทีเดียว
หรือกับบางคนที่ชอบส่งเมล์ หรือ forward เมล์ภายนอกหรือเมล์ภายในที่ไร้สาระ เมล์ข่าวดาราแย่งผู้ชายกัน เรื่องผัวเมียตีกัน โดยหวังดีมากเลยกลับเพื่อนจะทำงานเครียด จะได้ relax จากการอ่านเมล์ ท่านผู้อ่านคิดว่า คนคนนี้ จะถูกมองจากหัวหน้างานอย่างไรหรือ ??
ผมเชื่อว่า หัวหน้างานหลายคน ไม่ได้ใจกว้างกับเรื่องที่เราใช้เวลาในการทำงานไร้ประสิทธิภาพหรอกครับ เพราะผลงานของทุกคนมันสะท้อนไปที่ผลงานของเขา หากหัวหน้าต้องการความเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทำไมคนทำงานอย่างเราจึงไม่โหนกระแสโดยตอบสนองความต้องการระหว่างกันด้วยการทำงานเกื้อกูลกันให้เกิดประสิทธิภาพ
2 เรื่องที่ผมยกตัวอย่างไปนั้น ยังคงเป็นเรื่องเล็กน้อยมากที่เกิดกับคนทำงานจริงที่ท่านผู้อ่านจะเห็นว่า ส่งผลต่อโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ เพราะมันเป็นพฤติกรรมที่ทำลายอนาคตการทำงานของคุณได้เลยทีเดียวหากคุณประพฤติเช่นนั้น และคนจำนวนไม่น้อย ก็สร้างมันขึ้นมาแบบไม่รู้ตัวโดยคิดไปว่ามันเรื่องธรรมดา จะซีเรียสไปใย แต่มันกลับเป็นเรื่องอะไรที่ซีเรียสนะครับ ที่ซีเรียสเพราะ หัวหน้างานหรือฝ่ายบุคคลที่เห็นพฤติกรรมของคุณแบบนี้ เขาจะบอกคุณว่ามันไม่ได้ไม่ควรทำสักกี่มากน้อย
แต่หากจะต้องคัดเลือกใครสักคนที่โดนใจเพื่อให้ได้รับรางวัลจากการทำงาน การเลื่อนขั้นตำแหน่งล่ะก็ รับรอง คนที่มีพฤติกรรมอย่างที่ผมยกตัวอย่างเล็กน้อยมาว่านั้น ไม่อยู่ใน list ครับ
|
|
|
|
ความคิดเห็นของคุณกับบทความนี้
...
|
|
|
Knowledge Center |
|
|
knowledge
|
|
|
|
|
|
|
|
|