แรงบันดาลใจในการเขียนบทความนี้เกิดขึ้นหลังจากการอ่านหนังสือ
คุณธรรม นำความรู้ ของท่านอาจารย์ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ปัญหาเกิดขึ้นที่ใด หนทางแก้ก็จะปรากฎอยู่ที่นั่นก่อนเสมอ ยกตัวอย่างสมมติว่าถ้าเราปวดศรีษะเราก็จำเป็นต้องเพ่งเล็งไปที่ศรีษะว่า ปวดบริเวณใด? หน้าผาก ขมับ ท้ายทอย หัวคิ้วฯลฯ ปวดลักษณะใด? ข้างเดียว ทั้งสองข้าง ปวดแบบจี๊ดๆ แบบมึนๆ ปวดเป็นบางช่วง หรือปวดตลอดเวลาฯลฯ การค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดศรีษะของเราแน่นอนยอมต้องเป็นหน้าที่ของคุณหมอผู้เชี่ยวชาญที่ต้องอาศัยการวินิจฉัยจากข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆจากสภาพปัจจุบันของเรา แต่หากเราสามารถใช้ยาแก้ปวดบรรเทาได้ หรือทำวิธีการอื่นใดที่ทำให้อาการปวดศรีษะของเราระงับลงไปได้ ถือว่าเราได้แก้ไขปัญหาแล้วหรือไม่?อย่างไร?
การรับประทานยาแก้ปวด หรือนวดฝ่าเท้าบำบัด รวมไปถึงกดจุดฝังเข็ม ถือว่าเป็นการบรรเทาปัญหาที่เป็นภาวะแฝงร่วมในปัญหา ไม่ใช่ภาวะจริงที่เป็นรากเหง้าต้นตอของปัญหา แต่คนส่วนใหญ่นั้นมักไม่ค่อยให้ความสำคัญกับภาวะจริงของปัญหามากนัก เนื่องจากการบรรเทาระงับความเจ็บปวดของคนส่วนใหญ่เป็นการคาดเดาจากการอนุมาน ซึ่งก็มีโอกาสช่วยได้อยู่บ้าง แต่ในบางกรณีอาจให้ผลที่ไม่ยั่งยืน เกิดการสะสมของปัญหาไปเรื่อยๆและท้ายที่สุดก็เกิดเป็นความสูญเสียและความโศกเศร้า
ความรู้สึกที่เกิดจากอารมณ์หยาบๆของมนุษย์ก็เปรียบเสมือน ยาแก้ปวดหรือวิธีการต่างๆทีเราใช้ในการบรรเทาสภาวะแฝงของทุกข์ทางจิตทำใหมนุษย์เกิด กลไกป้องกันตนเองทางจิต เพื่อไม่ให้เกิดความเครียดมากจนเกินไป ด้วยวิธีการใช้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากอารมณ์หยาบๆของตนเอง ประเมินคุณค่าสภาวะรอบข้าง จนเกิดเป็นความ ผิด,ชอบ,ชั่ว,ดี ในอุดมคติของเราไปในที่สุด จริงหรือไม่ลองมาพิจารณาจากเรื่องจริงที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้
ช่วงนี้เราจะได้ยินข่าวนักเรียนตีกัน ยกพวกทำร้ายกันอยู่บ่อยๆและบางครั้งถึงขั้นสูญเสียชีวิต กรณีล่าสุดที่น่าเศร้ามากๆคือมีเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวถูกลูกหลงเสียชีวิต ผมได้ฟังข่าวและติดตามดูข้อเท็จจริงอยู่บ้าง รู้สึกหดหู่ใจ และเห็นใจคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ทั้งของน้องที่เสียชีวิต และกลุ่มผู้ที่ร่วมก่อเรื่องมากๆเลยครับ และหลังจากนั้นก็มีข่าวประเภทนี้ออกมาอีกประปรายรายวัน ตอนที่เป็นข่าวใหญ่โตมีการออกโทรทัศน์ สกู๊ปต่างๆ ผมนั่งฟังแต่ละท่านที่เกี่ยวข้องออกมาให้ความเห็นแนวทางแก้ไขกันต่างๆนาๆ พร้อมทั้งการโยนความรับผิดชอบกันไปมาแล้วก็วนกลับมาที่เดิม! การที่เหตุการณ์เรื่องราวมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในรูปแบบเดิมๆท่านลองพิจารณาให้แยบคายซิครับว่า อะไรคือสภาวะจริง? และอะไรคือสภาวะแฝง? ของปัญหา
ท่านอาจารย์ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กล่าวในหนังสือ คุณธรรม นำความรู้ ฉบับสมบูรณ์ พ.ศ.๒๕๕๓ หน้าที่ ๒๘-๓๐ ไว้ว่า ตลอดทั้งวันเราไดรับรู้ข้อมูลจากสิ่งต่างๆรอบตัวโดยผ่านทางประสาทสัมผัส จิตใจของเราสัมผัสกับโลกภายนอกโดยประสาทสัมผัสทั้งห้า ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องฝึกจิตใจให้รู้จักรับข้อมูลจากภายนอกได้อย่างถูกต้อง เพื่อจะได้ยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้นๆเมื่อเราได้รับข้อมูลเข้ามา เราควรจะต้องเป็นคนดีขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆทุกนาทีที่ผ่านไป เนื่องจากเด็กของเราไม่ได้รับการสอนให้รู้จักการรับรู้ที่ถูกต้อง เมื่อเขาได้ยินอะไรไม่ถูกใจก็จะหงุดหงิด หรือเห็นบางสิ่งบางอย่างก็จะเกิดอารมณ์ได้โดยง่าย เมื่อเป็นเช่นนี้จิตก็จะตกต่ำแทนที่จะสูงขึ้น สิ่งที่อาจารย์ท่านกล่าวไว้ผมเห็นด้วยโดยดุษฎีเลยครับและผมก็มีความเห็นต่อจากท่านอาจารย์ด้วยว่า เด็กๆที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงตอนนี้ก็เติบโตเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กันบ้างแล้วด้วยครับ ท่านอาจารย์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ปัญหาการรับรู้ข้อมูลภายนอกที่เกิดขึ้นกับตัวมนุษย์ก็คือ เราจะเห็นในสิ่งที่อยากจะเห็นและละเลยสิ่งอื่นๆที่เราไม่สนใจ เมื่อเรามองดูคนอื่น เรามักจะเห็นความผิดหรือจุดบกพร่องของเขา ทั้งๆที่เขาอาจจะมีข้อดีอยู่หลายประการ เวลาที่คนนินทากัน เขาก็มักจะสนุกสนานในการพูดเรื่องข่าวอื้อฉาวหรือข้อเสียของผู้อื่น เขาไม่เคยนินทากันในเรื่องความดีของคนอื่น หนังสือพิมพ์ก็มีแต่การพาดหัวข่าวด้วยเรื่องหายนะทุกข์ภัยต่างๆ อาชญากรรม หรือข่าวอื้อฉาว หน้าแรกของหนังสือพิมพ์ก็มีแต่ข่าวทำนองเดียวกัน ดูเหมือนว่าสังคมของเรามีข่าวเกี่ยวกับความดีน้อยเหลือเกิน เราควรจะเข้าใจด้วยว่า คนเราเมื่อคิดอย่างไร เราก็จะเป็นเช่นนั้น ถ้าเด็กๆได้รับรู้แต่ข่าวไม่ดี หรือรับรู้แต่ข่าวที่ผู้หลักผู้ใหญ่ใช้ความรุนแรง ได้รับรู้จากสื่อภาพยนตร์บ้าง โทรทัศน์บ้าง เด็กๆเหล่านี้เขาก็จะเติบโตขึ้นมาอย่างคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรุนแรง และมีความคิดในแง่ลบเสมอ ผมขออนุญาตให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณด้วยตนเองในการหาคำตอบ มากกว่าที่จะบอกว่า ผิด,ถูก,ใช่,ไม่ใช่ นะครับ ถ้าท่านได้รับรู้ในสิ่งที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้เบื้องต้น และพิจารณาให้แยบคายท่านก็จะสามารถค้นพบคำตอบได้ตามสภาพความเป็นจริง!
สภาพความเป็นจริงคืออะไร? สภาพความเป็นจริงก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกตัวเราและเราเห็นมัน แต่มันไม่ได้มีคุณค่าใดๆเลยตามที่เราประเมิน มันไม่มี ผิด,ชอบ,ชั่ว,ดี แต่ทำไมเราเห็น? ตามหลักทางวิทยาศาสตร์ ถ้าสิ่งที่เราเห็นมันไม่ได้มีขึ้นจากภายนอก แสดงว่ามันอยู่ในใจของเราใช่หรือไม่? การที่เราไปชี้บ่งความ ผิด,ชอบ,ชั่ว,ดี จริงๆแล้วมันเป็นไปตามสภาวะจิตภายในของเราต่างหาก ดังนั้นการฝึกชำระล้างจิตของเราให้ใสสะอาดจึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างภายนอกได้อย่างสะอาดสดใสชัดเจนไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือจะทำให้เราค้นพบสภาวะที่แท้จริงของปัญหาได้นั่นเอง เปรียบเสมือนกระจกหน้ารถของเราหากเราไม่เคยเช็ดทำความสะอาดเลย ปล่อยให้ฝุ่น โคลนติดฝังอยู่เต็มไปหมด ถึงแม้ทัศนวิสัยภายนอกจะแจ่มใสเพียงใด เราก็ไม่มีโอกาสได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายนอกนั้นได้อย่างชัดเจน แม้ว่าอากาศวันนั้นจะสดใสเพียงใดก็ตาม ถึงตรงนี้ถึงบางอ้อกันบ้างหรือยังครับผม
เมื่อมีคนกำลังทะเลาะกัน และกำลังเริ่มต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน จนอาจถึงขั้นเกิดความสูญเสียถึงชีวิต พวกเราในสังคมไม่ควรชี้นิ้วและตราหน้าพวกเขา และออกสื่อบอกกับทุกคนในสังคมว่า คนกลุ่มนี้เป็นคนไม่ดี เป็นนักเลง เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ต้องเอาไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ (ยังไม่ทันเข้าสู่กระบวนการฯก็ถูกพิพากษาเสียแล้ว) มันจะยิ่งเป็นการเพิ่มเชื้อประทุแห่งความรุนแรง พวกเด็กๆที่เขาได้รับรู้เขาก็จะจ้องมองคนสองฝ่าย ตีลูกโต้กันไปโต้กันมา (เหมือนดูเทนนิส) จนเขาเริ่มหงุดหงิดและอาจเกิดอารมณ์ร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขึ้นมาได้ พวกเราต้องช่วยกันนำเสนอให้คนในสังคมได้เรียนรู้จากสิ่งที่เห็น และตั้งคำถามให้คนในสังคมหาคำตอบด้วยตนเองว่า พวกเราทุกคนชอบและสบายใจในสิ่งที่เห็นหรือไม่? แน่นอนครับมนุษย์ทุกคนมีความปรารถนาและใฝ่ความดีงามอยู่ในตัว ไม่มีใครอยากเห็นความวุ่นวายและการสูญเสียชีวิตอย่างไม่ก่อให้เกิดคุณค่าความดีงามในบ้านเมืองของเรา หลังจากนั้นพวกเราจึงใช้โอกาสนำเสนอต่อไปว่า เมื่อเราไม่ชอบสิ่งไหน เราก็ไม่ควรที่จะทำสิ่งนั้น ถ้าเราไม่ชอบที่จะเห็นคนทะเลาะหรือต่อสู้กัน เราก็อย่าจงอย่าไปทะเลาะหรือต่อสู้กับคนอื่น เพียงเท่านี้ก็เท่ากับพวกเราได้ปลูกฝังความประพฤติชอบไว้ในหัวใจของคนในสังคมแล้ว โดยเฉพาะเด็กๆที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไปในภายภาคหน้า
อย่าลืมนะครับ ปัญหาอยู่ที่ไหนก็ควรแก้ที่ตรงนั้นซึ่งเป็นสภาวะโดยแท้จริง มันจะให้มาตรการที่ส่งผลกว่า การไปแก้ที่อื่นถึงแม้มันจะเกี่ยวข้องแต่มันเป็นเพียง สภาวะแฝง ของปัญหาเท่านั้น การแก้ไขปัญหาไม่ใช่การเพิ่มปัญหา ทุกวันนี้มีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้การแก้ปัญหาเกิดสภาพ Dominoes Effect เกิดปัญหาที่ต่อเนื่องไปเป็นลูกโซ่ หรือบางทีเป็นลักษณะที่เวียนว่ายตายเกิดกลับมาเป็นวัฎจักรอีกก็มี ประสบการณ์ตรงในชีวิตผมก็มีเอาไว้โอกาสดีๆจะมาเขียนนำเสนอให้ได้อ่านกัน ท้ายสุดที่อยากจะฝากไว้เป็นคำที่อาจจะไม่ค่อยคมแต่เอาไว้เตือนใจตนเองเสมอนะครับว่า.... อย่าลืมเคลียร์กระจกหน้ารถ ก่อนประเมินทัศนวิสัยภายนอก