บันทึกบทเรียนของน้องกาฟิลด์
บทเรียนนี้เริ่มต้นจากเช้ามืดวันเสาร์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๓ เวลาประมาณ ๐๔ : ๓๐ น. ครอบครัวกาฟิลด์ ครอบครัวลุงหัวหน้าและเพื่อนๆที่ทำงานคุณแม่ ออกเดินทางจากบ้านอยุธยา ไปยังท่าเรืออ่าวธรรมชาติ จ.ตราด เพื่อรอนำรถที่พวกเราโดยสารมาข้ามเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะช้างใต้ที่ติดต่อล่วงหน้ากับพลอยทะเลรีสอร์ตไว้แล้ว ถึงรีสอร์ตเวลาประมาณ ๑๐:๐๐ น. ด้วยความตื่นเต้นโดยเฉพาะน้องกาฟิลด์ที่จ้องจะเล่นน้ำทะเลกับคุณพ่ออยู่ หลังจากเข้าห้องพักจัดแจงข้างของสัมภาระ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเก่งเตรียมลุยกิจกรรมแรกของพวกเรากัน ก็ออกมาทานข้าวกันเริ่มต้นมื้อกลางวันสำหรับวันแรกด้วยอาหารทะเลธรรมดาๆแต่ดูดีและพอเหมาะพอสม น้องฟิลด์ท่าทางจะห่วงเล่นน้ำจึงไม่คอยสนใจกับมื้อกลางวันเท่าใดนัก หลังจากท้องตึงกันแล้ว พี่ที่รีสอร์ทพาพวกเรานั่งเรือเล็กไปยังเกาะหาดทรายขาว ที่อยู่ออกไปจากเกาะช้างใต้พอสมควร ถึงแม้จะไปลำบากสักหน่อยเวลาลงเรือแต่ก็คุ้มค่า เพราะทรายละเอียดขาวสวยมากๆโดยเฉพาะน้องกาฟิลด์คุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ (ชอบใจใหญ่เลย)ตอนแรกคุณพ่อเองก็ไม่ค่อยอยากจะลงน้ำสักเท่าไหร่ แต่เห็นว่าน้องกาฟิลด์ไม่มีเพื่อนจึงเล่นน้ำกับน้องกาฟิลด์กันเป็นชั่วโมงๆน้องกาฟิลด์ยังไม่หายเบื่อเลย จนได้เวลาพอประมาณจึงนั่งเรือกลับที่พักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารอเวลาอาหารมื้อค่ำ และกิจกรรมตกหมึกตอนกลางคืน (แต่ครอบครัวกาฟิลด์ไม่ได้ไปกับเขาเพราะคุณพ่อคุณแม่กลัวว่าน้องฟิลด์จะง่วงนอนเพราะเล่นน้ำมาทั้งวันแล้ว) ครอบครัวเราจึงนอนเอาแรงไว้เตรียมลุยกิจกรรมวันต่อไปดีกว่า คืนแรกเป็นคืนที่นอนสบายมากๆฝนตกกระหน่ำฟ้าร้องทั้งคืน นอนนึกอยู่เหมือนกันว่าพรุ่งนี้พวกเราจะไปลุยกิจกรรมกันได้หรือเปล่าหนอ
บทเรียนที่ได้ในวันนี้ตั้งแต่ตื่นมาเช้ามืด ก็คือ ช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือ ช่วงเวลารอคอยในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจากกรรมที่ดี กรรมที่ดีคือการกระทำที่เหมาะสมไม่มีผลทำให้ตนเองและผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน การไปพักผ่อนครั้งนี้เป็นครั้งที่น้องกาฟิลด์มีความสุขมาก (ตามประสาเด็กๆเวลาปิดเทอมก็อยากให้คุณพ่อคุณแม่พาไปเที่ยวไหนต่อไหนบ้าง) ครั้งนี้ถือว่าคุณแม่ฟิลด์ได้ลงทุนในการสร้างกรรมดีไว้ให้กับน้องกาฟิลด์และคุณพ่อฟิลด์ โดยความอนุเคราะห์จากกัลยาณมิตรที่ร่วมไปด้วยกันทั้งหลาย ผลแห่งกรรมดีทำให้น้องกาฟิลด์เกิดความสุข เกิดการเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยเห็น เกิดการซึมซับในความดีงามของธรรมชาติที่มอบไว้ให้แก่สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ของพวกเรา
เช้าวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๓ ครอบครัวกาฟิลด์ตื่นกันแต่เช้า น้องกาฟิลด์รีบขออาบน้ำก่อน ตามด้วยคุณพ่อและคุณแม่ฟิลด์ แต่งตัวเตรียมลุยภาระกิจในวันนี้หลังอาหารมื้อเช้า เวลาประมาณ ๐๙:๐๐ น. เรือเล็กพาพวกเราออกจากท่าเรือที่รีสอร์ท ไปขึ้นเรือใหญ่ที่เตรียมตัวนำเราออกสู่ทะเลใหญ่เพื่อไปดำน้ำดูปะการังกันที่หมู่เกาะหินกลางทะเลใหญ่ เรือวิ่งผ่านหาดทรายขาว เกาะเลาหยา เกาะหวาย เกาะกวม เกาะหมาก เกาะกูด และเกาะหินน้อยใหญ่ที่อยู่กลางทะเล มีหลายคนเมาเรือรวมไปถึงคุณแม่ฟิลด์ด้วย แต่น้องกาฟิลด์กับคุณพ่อไม่เป็นอะไร เรือวิ่งด้วยความเร็วพอประมาณ แต่พวกเราอยู่บนเรือมีความรู้สึกว่าทำไมช้าจัง ไม่ถึงเสียที ใช้เวลาเดินทางร่วม ๒ ชั่วโมงจนมาถึงที่หมายบริเวณเกาะมะปลิง (ไม่แน่ใจว่าชื่อถูกหรือเปล่า เช็คจากแผนที่แล้วไม่มีข้อมูลปรากฎในแผนที่แต่ได้ถามจากพี่ที่เป็นคนบังคับเรือ) จุดเด่นของเกาะนี้คือจะอยู่ใกล้กับเกาะอีกเกาะหนึ่งมีศาลเจ้าของคนจีนตั้งอยู่ บริเวณระหว่างเกาะพี่คนบังคับเรือเขาบอกว่าพวกชาวประมงเขาเอาไว้หลบพายุ เขาเรียกว่าเกาะศาลเจ้า บริเวณแถวๆนี้ถึงแม้จะออกมาเป็นระยะทางไกลจากฝั่งมาก แต่ก็พบเรือเล็ก (Speed Boat) เรือท่องเที่ยวขนาดกลาง ไปจนถึงเรือเฟอร์รี่ขนาดใหญ่ก็มี พานักท่องเที่ยวมาดำน้ำดูปะการังและฝูงปลามากมาย (นึกในใจว่าไกลขนาดนี้มนุษย์เรานี่ก็ช่างเสาะแสวงหากันจริงๆ) น้องฟิลด์กับคุณพ่อไม่ได้ลงเพราะมองจากบนเรือก็พอเห็นข้างล่างได้ น้ำทะเลบริเวณนี้ใสมากๆเพราะมีแต่หินไม่มีทรายมีโคลนเลย พอโยนขนมปังลงไปฝูงเจ้าปลาเสือน้อยใหญ่ และปลาอื่นๆเช่น ปลาหมู ปลานกแก้ว ฯลฯสีสดสวยมากมาตอดกินกัน คนที่ลงไปในน้ำก็ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจใต้น้ำ (Snorkel) กับแว่นตากันน้ำ ลอยตัวดูฝูงปลา ปะการัง และความสวยงามใต้ท้องทะเลกันอย่างสนุกสนาน เจ้าฝูงปลาน้อยใหญ่ว่ายมากินอาหารกับมือเรียกว่าได้สัมผัสกันแบบตัวเป็นๆ ซึ่งเจ้าปลาพวกนี้ดูเหมือนว่ามันจะคุ้นเคยกับคนเป็นอย่างดีทีเดียว พี่คนบังคับเรือเขาบอกว่าเมื่อประมาณ ๒ ปีก่อนปะการังยังไม่ตายบริเวณนี้สวยงามมาก ปัจจุบันปะการังเปลี่ยนสี และตายลงไปเยอะมากเนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น ฟังแล้วน่าเศร้าจังเลย ใกล้ๆกันบริเวณนั้นก็มีเกาะหินอีก ๓-๕ เกาะซึ่งก็เป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังทั้งหมด บางจุดก็พบปลิงทะเล หอยเม่น ซึ่งคนที่ลงไปดำน้ำก็โดนหอยเม่นตำกันเยอะเหมือนกัน พี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่บนเรือเขาบอกว่าให้ใช้รองเท้าค่อยๆตีบริเวณที่ถูกตำให้หนามมันแตกแล้วมันจะสลายไปได้เอง แต่ก็ปวดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เวลาล่วงเลยไปจนถึงมื้อเที่ยงพวกเราก็ทานข้าวเที่ยงกันบนเรือได้บรรยากาศดีมากๆเลย
ขากลับเรือมาแวะจอดเทียบท่าที่เกาะหวาย ให้ดำน้ำกันอีกรอบบนเกาะนี้มีหาดทรายด้วยคุณแม่ฟิลด์จึงอนุญาตให้น้องกาฟิลด์ลงเล่นน้ำกับคุณพ่อฟิลด์ได้ ด้วยความดีใจคุณพ่อกับคุณลูกลงกันไปยังไม่ทันตัวเปียกเลย รู้สึกว่าถูกตัวอะไรสักอย่างกัดคันมากๆเลยน้องกาฟิลด์ชวนคุณพ่อขึ้นจากน้ำซึ่งคุณพ่อกับคุณลูกก็ต้องรีบมาอาบน้ำจืดบนเรือกัน หลังจากนั้นก็มีอีกหลายคนขึ้นมาก็บ่นลักษณะเดียวกัน อยู่กันได้ไม่นานพวกเราก็เดินทางกลับสู่ที่พัก ระหว่างเดินทางกลับสายพานเครื่องยนต์เกิดขัดข้องสองครั้ง แต่พี่ๆบนเรือก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี จนถึงที่พักเวลาประมาณเกือบ ๑๗:๐๐ น.เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมทานอาหารมื้อค่ำ และพักผ่อนกันตามอัธยาศัย
บทเรียนที่ได้ในวันนี้ก็คือ ธรรมชาติไม่เคยโหดร้ายกับสิ่งมีชีวิต ตรงกันข้ามธรรมชาติพยายามสร้างสรรค์สิ่งดีงามที่มีคุณค่าให้สิ่งมีชีวิตได้ชื่นชมและสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขด้วยความเอื้ออาทรแก่กันและกัน หมู่เกาะน้อยใหญ่ หาดทราย ท้องทะเล ปะการัง เกิดจากการสรรค์สร้างของธรรมชาติ มนุษย์กระทำได้เพียงการลอกเลียนแบบซึ่งไม่สามารถทำให้ดีเท่าธรรมชาติได้ ข้อคิดอย่างหนึ่งที่ได้คือ มนุษย์ทำเพื่อให้ได้ครอบครอง ในขณะที่ธรรมชาติทำเพื่อให้เกิดการแบ่งปันและเอื้ออาทรแก่กันและกัน ถึงแม้ทุกวันนี้มนุษยชาติจะมีเทคโนโลยี และนวัตกรรมก้าวล้ำไปเพียงใดก็ตาม มนุษย์ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าควบคุมและเอาชนะธรรมชาติไปได้ สิ่งที่จะทำให้โลกใบนี้สลายลงไปได้นั้นมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือ พลังแห่งธรรมชาติ
การจากไปของปะการังและปลาสวยงามส่วนหนึ่งเกิดจากความอยากที่จะครอบครองเพียงเพื่อตอบสนอง ราคะจริต ของมนุษย์เท่านั้น อีกส่วนหนึ่งเกิดจากอวิชชาที่มนุษย์พยายามสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าเพื่อสนอง โทสะจริต ของตนเอง ปรากฎการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับโลกมันก็คือผลที่ได้มาโดยความไม่รู้ควบคู่กับความภาคภูมิใจในภูมิความรู้ของตนเอง ทุกวันนี้มนุษย์ตอบแทนโดยการสร้างความโหดร้ายกลับคืนสู่ธรรมชาติ เป็นกรรมที่ได้ก่อขึ้นแล้ว และตามกฎของกรรม ใครทำกรรมอันใดไว้ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม ก็จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นคืนกลับมาไม่ช้าก็เร็ว
ความประทับใจอีกอย่างหนึ่งที่ได้พบเห็นก็คือ อัธยาศัยและไมตรีจิตที่ดีกับคนที่อยู่กับธรรมชาติ ชาวเรือที่พวกเขาทำมาหากินอยู่กับธรรมชาติเขาจะมีความรักและเข้าใจธรรมชาติเป็นอย่างดี รวมถึงการให้ความเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ตอนที่เรือไปจอดเทียบที่เกาะหวายเนื่องจากมีทางขึ้นทางเดียว เรือแต่ละลำจะต้องไปจอดขนาบข้างกันและจะใช้เชือกยึดกันไว้ เรือที่เข้ามาโยนเชือกให้เรืออีกลำหนึ่งที่จอดอยู่เจ้าหน้าที่บนเรือกุลีกุจอรีบมาช่วยดึงช่วยกันมัดไม่มีการแบ่งแยกกันว่าเรือเก่าเรือใหม่ เรือเล็ก เรือใหญ่ จากนั้นก็จะให้ผู้โดยสารเดินข้ามเรือกันไปเรื่อยจนถึงลำที่จอดเทียบกับท่าเรือ ระหว่างผู้โดยสารเดินข้ามเจ้าหน้าที่บนเรือแต่ละลำช่วยจับมือ ประคอง รับส่งสัมภาระ อุ้มเด็กๆ ผมคิดว่านี่คือวิถีแห่งชาวเรือที่เขาเลี้ยงชีพอยู่กับธรรมชาติ เขามีวิถีเกื้อกูลซึ่งกันและกัน อาจจะไม่ได้มากจนเกินไปแต่ก็ทำให้คนในสังคมอุตสาหกรรม สังคมเมืองอย่างพวกเราเกิดการรับรู้และเปรียบเทียบกับวิถีชีวิตของพวกเราได้เป็นอย่างดี
คนที่อยู่กับธรรมชาติจิตใจก็ย่อมเป็นธรรมชาติไปด้วย ธรรมชาติของจิตใต้สำนึกในตัวมนุษย์โหยหาในสิ่งที่ดีงาม งดงาม มนุษย์เป็นสัตว์ที่ใฝ่ดีโดยกำเนิด แต่ความที่ยังเป็นสัตว์โลกก็ยังคงมี สันดานดิบ ติดมาอยู่บ้างแต่มนุษย์ทุกคนสามารถค่อยๆลดละเลิกลงไปได้หากเราค่อยๆพยายามศึกษาเรียนรู้ให้เข้าถึงธรรมชาติในตัวตนของเราให้ได้
คืนนี้น้องกาฟิลด์ไปเล่นกับพวกพี่ๆสนุกสนานลืมคุณพ่อคุณแม่ฟิลด์ไปเลย คุณพ่อนอนเผลอหลับไปมารู้สึกตัวประมาณตีสอง มีความรู้สึกว่าทำไมที่นอนถึงสั่นๆตอนแรกนึกว่าคิดไปเอง คงไม่มีอะไร อีกสักประมาณหนึ่งมีความรู้สึกที่นอนสั่นอีกแล้ว (คุณแม่ฟิลด์และน้องกาฟิลด์กำลังหลับสนิทกันอยู่เลย) ความคิดแรกที่คิดขึ้นมาตอนนั้นคือแผ่นดินไหวแน่นอน เพราะเราอยู่บนเกาะ อยู่บนภูเขาที่โผล่มาจากใต้ทะเล แต่ทำไมมันสั่นเฉพาะที่นอน ตู้ เตียง ข้าวของอื่นๆไม่เห็นขยับเลย คิดไปคิดมาหลับต่อ คืนนั้นรับรู้ได้ถึงสามครั้งแต่ก็ยังไม่มีความกระจ่างใดๆจนกระทั่งมาได้ข่าวว่ามีรายงานแผ่นดินไหวใต้ทะเล บริเวณหมู่เกาะสุมาตรา วัดแรงสั่นสะเทือนได้ ๗.๕ ริกเตอร์ เวลาประมาณ ๒๑:๐๐ น. และหลังจากนั้นประมาณ ๕ ชั่วโมงก็เกิด After Shock ตามมาเป็นระยะๆ ทำให้ได้รู้เหตุของผลเมื่อคืนนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ค่อยเชื่ออยู่ดี และคิดว่า ทำไมมันสะเทือนมาไกลจัง จุดนี้น่าจะบ่งชี้ได้ดีถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
เช้าวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ ครอบครัวกาฟิลด์ตื่นแต่เช้าอีกเช่นเดิม อาบน้ำ แต่งตัว เก็บข้าวของเตรียมเดินทางกลับบ้านอยุธยา และแวะซื้อของฝากมาตลอดทางตั้งแต่ จันทบุรี ระยอง และมาที่ ชลบุรี กว่าจะถึงบ้านอยุธยาก็ปาเข้าไป ๒๐:๓๐ น. แต่น้องกาฟิลด์ก็บอกว่าสนุกมากๆเลย มีโอกาสครอบครัวกาฟิลด์จะไปค้นหาองค์ความรู้ดีๆมาฝากกันอีกนะค่ะ
บันทึกองค์ความรู้นี้คุณพ่อฟิลด์จัดทำไว้เพื่อถ่ายทอดให้กับน้องกาฟิลด์ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยคุณพ่อจะบันทึกรวบรวมและจัดทำเป็นรูปเล่มในโอกาสต่อไป
๒๓-๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๓