ภารกิจของเราตอบสนองต่อสิ่งใด?
หากคุณพ่อ-คุณแม่มีความประสงค์ให้คุณลูกเป็นเด็กที่เรียนดี แน่นอนที่สุดบทบาทหน้าที่ของคุณพ่อ-คุณแม่และคุณลูกก็จะต้องถูกกำหนดตามมาเป็นภารกิจ คุณพ่อ-คุณแม่มีภารกิจต้องคอยส่งเสริมสนับสนุน คุณลูกมีภารกิจต้องทบทวนฝึกฝนสิ่งที่เรียนรู้ โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ คุณพ่อ-คุณแม่มีความปลาบปลื้มสมตามสิ่งที่หวัง โดยที่คุณลูกก็เป็นเด็กที่เรียนดีอย่างมีความสุขด้วย
ถามว่า หากลูกเรียนได้เก่งสมตามความปรารถนาของคุณพ่อ-คุณแม่ แต่ลูกมีความกดดันอยู่ภายในมากมาย ทำให้ไม่มีความสุขตามวัยที่สมควร อย่างนี้เราจะเรียกว่า บรรลุตามเป้าหมายหรือไม่? ทุกวันนี้เรายังเข้าใจ คำว่า วัตถุประสงค์ กับ เป้าหมาย กันอย่างไรและใช้รวมกันอยู่หรือไม่ ลองพิจารณาจากข้อเท็จจริงต่อไปนี้ครับ
วัตถุประสงค์ คือ สิ่งที่อยากให้ทำ อยากให้เป็น
ภารกิจ คือ สิ่งที่ต้องทำด้วยความรับผิดชอบ , หน้าที่ความรับผิดชอบ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ และความต้องการ
เป้าหมาย คือ การทำในสิ่งที่ต้องทำให้ได้ในสิ่งที่อยากได้อย่างมีความสุข (ทั้งตัวเราและผู้อื่น)
ทุกวันนี้เราทำภารกิจกันเพื่อสนอง วัตถุประสงค์ หรือ เป้าหมาย กันแน่ครับ? หากพิจารณาภายในองค์กร สิ่งที่บุคลากรภายในองค์กรถูกกำหนดให้เป็นภารกิจนั้นล้วนต้องถูกเชื่อมโยงมาจากสิ่งที่เรียกว่า นโยบาย แล้วนโยบายจัดอยู่ใน วัตถุประสงค์ หรือ เป้าหมาย ละครับ?
บุคลากรระดับปฏิบัติการส่วนใหญ่ก็จะรับรู้กันเพียงว่า นโยบาย คือคำสั่งของผู้บริหารระดับสูงขององค์กรที่สั่งการลงมาแล้วพวกเขาก็จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากฝ่าฝืนอาจถูกพิจารณาตามบทลงโทษได้ ดังนั้นอย่าไปรู้อะไรมากเลย ก้มหน้าก้มตาทำๆกันไปขอให้ชีวิตรอดไปวันๆก็พอแล้ว ในความเป็นจริงของชีวิตคนทำงานก็เป็นอย่างนี้จริงๆครับพวกเขามีหน้าที่ลงมือกระทำ ลงมือปฏิบัติให้ได้ผลงานที่ดีมีคุณภาพออกไปสู่สังคม
บุคลากรอีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ที่มีภารกิจโดยตรงในการแปลงนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากผู้บริหารระดับสูง มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติให้กับบุคลากรระดับปฏิบัติการ บุคลากรกลุ่มนี้มีความสำคัญขนาดที่เรียกว่าทำให้ นโยบาย มีคุณค่าและมีความหมาย หรือเป็นเพียงแค่ คำสั่ง ที่ต้องทำตามเท่านั้น!!!
ผมจะใช้วิจารณญาณแบบให้เข้าใจกันง่ายๆ สมมติว่าหากเราเป็นเจ้าขององค์กร ถามว่าความปราถนาสูงสุดที่เราอยากเห็นคือสิ่งใด? (ตอบกันเองในใจนะครับ) ความปรารถนานั้นก็จะถูกใส่เข้าไปในนโยบาย ใส่เข้าไปในสิ่งต่างๆที่มันจะเอื้อและบอกให้บุคลากรทุกคนที่ทำงานในองค์กรของเราได้รับรู้ในสิ่งนั้นใช่ไหมครับ? แล้วเราจะเลือกใช้ คำสั่ง หรือ การบอกกล่าว ที่มันจะให้ผลดีกว่ากันครับ? ผมเชื่อว่าเจ้าขององค์กรส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในคุณค่าของบุคลากรทุกคน แต่อาจเป็นไปได้ยากนะครับที่จะมานั่งอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้บุคลากรฟังได้หมดทุกคนทุกระดับ
การมอบหมายนโยบายผ่านตัวกลางจึงเกิดขึ้น จริงอยู่ครับว่า ความกลัว อาจทำให้คนเราจำเป็นต้องทำเพื่อจะได้ไม่ถูกลงโทษ เราจึงได้ในสิ่งที่อยากให้ทำ อยากให้เป็น (วัตถุประสงค์) แต่ขณะที่คนลงมือทำมีแต่ความทุกข์ทุกขณะจิตที่ทำงาน แล้วเราคิดไปเองว่าบรรลุตามเป้าหมายแล้ว มันใช่หรือครับ? ดูกรณีศึกษาจากเหตุการณ์จริงนี้แล้วลองค่อยๆใช้วิจารณญาณตามนะครับ
วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๖ ยานขนส่งอวกาศโคลัมเบีย เที่ยวบิน STS-๑๐๗ ถูกส่งขึ้นจากฐานส่ง ๓๙A ด้วยภารกิจต่างๆตามวัตถุประสงค์ที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (NASA) กำหนดไว้คือ การทดลองทางวิทยาศาสตร์หลายสิบรายการในวงโคจรของโลกเป็นเวลา ๑๖ วัน นักบินอวกาศบนยานขนส่งอวกาศโคลัมเบียประกอบด้วย ผู้บังคับการริค ฮัสแบนด์ นักบินนำร่องวิลเลียม แม็คคูล ผู้เชี่ยวชาญภารกิจ เดฟ บราวน์ คาลพานา ชอว์ลา ลอเรล คลาร์ค ผู้บังคับการสัมภาระ ไมค์ แอนเดอร์สัน และผู้เชี่ยวชาญสัมภาระ อิลาน รามอน ชาวอิสราเอล หลังจากการปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นตามวัตถุประสงค์แล้วทุกประการ ยานโคลัมเบียก็ปรับทิศทางของตัวยานเพื่อเตรียมร่อนเข้าสู่บรรยากาศและลงสู่พื้นผิวโลก
เช้าวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๖ เวลา ๐๙.๐๐น.ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐฯ ยานขนส่งอวกาศโคลัมเบีย ต้องพบกับอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงที่สุดอย่างไม่คาดคิด เกิดการระเบิดเป็นลูกไฟพวยพุ่งเหนือท้องฟ้าของสหรัฐฯ ขณะกำลังเดินทางกลับสู่พื้นโลก ๑๖ นาทีก่อนที่จะได้ร่อนลงจอดที่ศูนย์อวกาศเคเนดีในฟลอริดาตามกำหนดการ อุบัติเหตุครั้งนี้คร่าชีวิตนักบินอวกาศทั้งหมด
สามวันหลังจากหายนะของยานขนส่งอวกาศโคลัมเบียและความตายของนักบินอวกาศทั้งเจ็ด นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักการเมืองกำลังตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้น? ทำไมไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น? เราสามารถป้องกันได้หรือไม่? ขณะที่ประชาชนบางส่วนอาจตั้งคำถามอีกแบบหนึ่งว่า พวกเขาขึ้นไปทำอะไรในอวกาศ? อเมริกาใช้งบประมาณมหาศาลในการส่งนักบินอวกาศไปยังที่ๆ ไม่คุ้นเคยและเสี่ยงต่ออันตราย นักวิทยาศาสต์อธิบายว่าพวกเขาออกไปเพื่อขยายองค์ความรู้ของพวกเรา ขณะที่นักวิจารณ์บางคนกล่าวว่า ในยุคที่มีดาวเทียมโคจรอยู่รอบโลกจำนวนมาก และเราสามารถส่งหุ่นยนต์ไปยังดาวอังคารได้แล้ว เหตุใดจึงต้องนำมนุษย์ออกไปเสี่ยงในอวกาศอีก อย่างไรก็ดี มีชาวอเมริกันเพียงส่วนน้อยที่ตั้งคำถามนี้ เพราะผลการสำรวจความเห็นของชาวอเมริกันหลังจากเกิดอุบัติเหตุกับยานโคลัมเบียพบว่า ร้อยละ ๘๒ เห็นด้วยที่อเมริกาควรจะส่งมนุษย์ออกไปในอวกาศ ซึ่งใกล้เคียงกับผลสำรวจหลังจากการระเบิดของยานชาลเลนเจอร์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ความจริงก็คือ ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การสำรวจและการผจญภัยไปยังที่ๆ เราไม่เคยพบเห็นนั้นเป็นสิ่งที่เราทำเสมอมา นอกจากนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสหรัฐฯ ใช้ความก้าวหน้าทางด้านอวกาศ เพื่อแสดงศักยภาพและความยิ่งใหญ่ทางการเมือง รวมทั้งนโยบายระหว่างประเทศ นีล อาร์มสตรองและเอ็ดวิน อัลดรินบนยานอะพอลโล ๑๑ ไม่ได้ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์เพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เพื่อแสดงถึงชัยชนะในสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ กับอดีตสหภาพโซเวียต
กรณีศึกษาจากเหตุการณ์จริงนี้ถามว่า NASA บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่? นักบินอวกาศได้ปฏิบัติภารกิจอย่างสมบูรณ์หรือไม่? และภารกิจของเที่ยวบินนี้บรรลุตามเป้าหมายหรือไม่? ไม่มีใครต้องการพบจุดจบแบบนี้ ถึงแม้จะได้รับการยกย่องให้เป็นวีระบุรุษของมนุษยชาติ การปฏิบัติภารกิจเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการทดลองของ NASA คือสิ่งที่ท้าทายผู้ทำหน้าที่เป็นนักบินอวกาศ ถึงแม้พวกเขาจะรับรู้ได้บ้างว่ามันมีความเสี่ยง แต่เขาก็มีความเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัย ระบบป้องกันต่างๆที่มีอยู่ ทุกคนก็หวังว่าเมื่อภารกิจเสร็จสิ้นเขาจะต้องได้กลับมาเหยียบพื้นโลกได้กลับมาใช้ชีวิตบนโลกอีกเช่นเดิม ผมเชื่อว่านี่คือเป้าหมายสูงสุด ของนักบินอวกาศทุกเที่ยวบิน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าองค์กรของพวกเราคงไม่มีสภาพเหมือนกับเหตุการณ์ในเที่ยวบินนี้นะครับ?