ค้นบ่อย
:
หางานบัญชี,
หางานธุรการ,
หางานจัดซื้อ,
หางานผู้จัดการ,
หางานขับรถ,
หางานบุคคล,
หางานคลังสินค้า,
หางานครู,
หางานวิศวกร,
หางานเขียนแบบ,
หางานคีย์ข้อมูล,
หางานการตลาด,
หางานโรงแรม,
หางานสิ่งแวดล้อม,
หางานคอมพิวเตอร์,
หางาน Programmer,
หางานประชาสัมพันธ์,
หางานช่าง,
หางานสถาปนิก |
เรื่อง
บทความเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและน้ำท่วม
เขียนโดย Wonder Man
|
Rated:
by 3 users |
|
|
|
|
ผลกระทบจากโลกร้อนโดยตรงที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคงหนีไปพ้นอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นพ้องกับชื่อภาวะวิกฤตโลกร้อนนั้นเอง แน่นอนว่าอากาศยิ่งร้อนอบอ้าวเท่าไหร่ มันก็ทำให้เราหงุดหงิดงุ่นง่านพาลทำให้อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาได้ง่ายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นรูปธรรมและถูกนำมากล่าวอ้างทุกครั้งเมื่อพูดถึงสภาวะโลกร้อนคือ การละลายของธารน้ำแข็งที่มีอยู่ทั่วโลก
นักวิทยาศาสตร์พบว่าทุกวันนี้ธารน้ำแข็งในพื้นที่ต่างๆได้หลอมละลายลงเป็นจำนวนมากหรืออย่างในบริเวณหลังคาโลกอย่างเทือกเขาหิมาลัยก็ยังโดนผลกระทบตามมาด้วย ปัจจุบันพบว่าธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งน้ำจืดที่สำคัญของผู้คนกว่าสองพันล้านชีวิตกำลังละลายลงอย่างรวดเร็ว และคาดการณ์กันว่า หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ธารนำแข็งแห่งนี้จะละลายหมดไปภายในระยะเวลา 50 ปี ซึ่งผลที่ตามมาคือ ประชากรโลกเกือบครึ่งหนึ่งต้องประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำจืด
ผลกระทบจากคลื่นความร้อนก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น แม้นักวิทยศาสตร์บ้างกลุ่มจะตั้งข้อสังเกตว่า คลื่นความร้อนไม่ได้มีผลมาจากภาวะโลกร้อนโดยตรง เพราะคลื่นความร้อนคือ สภาวะของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยจะมีสภาพอากาศที่สูงกว่าปรกติ หรือพูดอีกอย่างได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดในรอบปี และมักจะเกิดขึ้นเสมอๆในฤดูร้อน โดยอุณหภูมิอาจจะสูงขึ้นกว่าปรกติถึง 30 องศาเซลเซียสได้เลยที่เดียว และแม้ความคิดเห็นกับประเด็นดังกล่าวของนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แจ้งชัดนักว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นผลโดยตรงจากสภาวะโลกร้อนหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นเหมือนกัน ก็คือว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกอันเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อนแล้วมนุษย์เราคงต้องประสบชะตากรรมเดียวกันกับการเกิดคลื่นความร้อน หากยังจำกันได้ในปีพ.ศ. 2546 เกิดคลื่นความร้อนที่ถือว่าสูงทีที่สุดในรอบ 150 ปี ในแถบประเทศยุโรปและในคราวนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 40,000 ราย เลยทีเดียว
ธารน้ำในอลาสก้า ปี 1980 ภาพจาก www.nasa.gov
เมื่อธารนำแข็งเกือบทุกแห่งทั่วโลกพร้อมใจกันละลายเพราะอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ในบ้างพื้นที่เช่นแถบขั้วโลกเหนือเราก็จะเห็นต้นไม้ที่เคยทรงตัวตรงตะหง่านกลับโงนเงนคล้ายมึนเมาเสียเต็มประดา เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะการหยั่งรากของมันลงไปในชั้นดินซึ่งมีน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบ เมื่อเกิดการละลายของน้ำแข็งในชั้นดินจึงทำให้มันมีสภาพโงนเงนดังกล่าวแถมบ้านพักอาศัยในแถบนั้นก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน
ในปี พ.ศ.2545 เกิดเหตุการณ์สำคัญเช่นการ ที่แผ่นน้ำแข็งวอร์ดฮันต์ในประเทศแคนาดาซึ่งถือว่าเป็นแผ่นน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแตกออกเป็นสองส่วนหรือ ลาร์เซน-บี แผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่กว้า 48 กิโลเมตร ยาว 240 กิโลเมตร แตกออกจากขั้วโลกใต้กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งหลายก้อนลอยอยู่ในทะเลและทั้งหมดละลายกลายเป็นน้ำภายในไม่กี่วันนอกจากนี้แล้ว ดาวเทียมขององค์การนาซ่ายังตรวจพบว่าแผ่นน้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ละลายกลายเป็นน้ำ31 พันล้านตันต่อปี
ธารน้ำในอลาสก้า ปี 2005 ภาพจาก www.nasa.gov
เมื่อน้ำแข็งในพื้นที่ต่างๆ ละลายพร้อมกันนั้นย่อมเป็นสัญญาณว่าจะทำให้ระดับน้ำในทะเลเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก แม้การละลายการละลายของก้อนน้ำแข็ง ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรจะไม่ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นเฉกเช่นเดียวกับการละลายของก้อนน้ำแข็งในแก้วน้ำที่ไม่ทำให้ปริมาตรเปลี่ยนแปลงไป แต่การละลายของธารน้ำแข็งและน้ำแข็งในชั้นดินต่างๆย่อมส่งผลโดยตรงต่อระดับน้ำทะเล และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลนี้เองที่ทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งรวมไปถึงการรุกเข้าพื้นที่ซึ่งมีความสูงไม่มากนักในบริเวณชายฝั่งตามประเทศต่างๆทั่วโลก ซ้ำยังก่อให้เกิดปัญหาการรุกล้ำของน้ำเค็มในพื้นที่ของแหล่งน้ำจืดอีกด้วย
ในระยะนี้เราอาจจะเห็นข่าวเกี่ยวกับภัยธรรมชาติต่างๆเกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น ภัยแล้ง ไฟป่า น้ำท่วม การพังทลายของชั้นดิน และที่เราเห็นกันจนชินตาจนอาจกล่าวได้ว่าเป็นข่าวรายวัน-รายสัปดาห์ไปแล้วก็คงจะเป็นภัยจากพายุ ที่มีปริมาณมากขึ้นซ้ำยังรุนแรงกว่าเดิม เหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะว่า การเกิดพายุจะเกิดขึ้นจากการถ่ายเทของสภาพอากาศจากสภาพความเย็นไปหาสภาพความร้อน เมื่อโลกเราร้อนขึ้นทำให้มีความชื้นมากขึ้นสภาพภูมิอากาศมีอุณหภูมิและความดันอากาศที่แตกต่างกันจึงเป็นเหตุผลให้เกิดพายุบ่อยครั้งและรุนแรงยิ่งขึ้น
พายุมีแนวโน้มที่เกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น http://www.dailynews.co.th
ไม่เพียงเท่านั้นภาวะโลกร้อนยังสามารถทำลายทัศนียภาพอันสวยงามของท้องทะเลลงได้ดังเช่นปรากฏการณ์ปะการังฟอกสีซึ่งพบเห็นในหลายๆประเทศรวมทั้งประเทศไทยของเราเองก็เจอผลกระทบนี้เช่นกัน ปะการังฟอกสีคือ ปรากฏการณ์ที่เมื่อน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นจะทำให้สาหร่ายต่างๆที่เป็นอาหารของปะการังไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้และเมื่อปะการังไม่มีอาหารก็จะทำให้ตัวมันเองตายไปด้วยทำให้ปะการังที่เคยมีสีสันสวยงามกลับกลายเป็นปะการังที่ซีดขาวไร้สีสัน
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนไม่ใช่แค่เพียงการส่งผลในท้องทะเล ผืนดิน และสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่ปรากฏการณ์โลกร้อนยังส่งผลไปถึง ดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบโลกซึ่งปรกติบรรยากาศชั้นนอกของโลกจะมีเพียงแค่เบาบาง แรงดึงดูดจึงยังส่งผลให้ดาวเทียมสามารถโคจรไปได้อย่างช้าๆ แต่เมื่อมีการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซต์เป็นจำนวนมากในชั้นบรรยากาศที่อยู่ต่ำกว่า จึงทำให้แรงดึงดูดของโลกกับชั้นบรรยากาศชั้นสูงลดกำลงและเป็นสาเหตุให้ดาวเทียมโคจรเร็วกว่าปรกติ
มีเหตุการณ์หรือผลกระทบอีกมากมายที่เกิดจากภาวะโลกร้อนที่เรากำลังประสบอยู่คำถามตามมาว่านักวิทยาศาสตร์รู้ได้อย่างไร นอกจากการวิเคราะห์ด้วยหลักเหตุและผลแล้วนักวิทยาศาสตร์ยังได้ใช้การเก็บรวบรวมของสภาพภูมิอากาศของโลก สภาพพื้นผิวโลก อุณหภูมิของโลก เป็นต้ นแล้วใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการประมวลผลออกมาถึงความน่าจะเป็นต่างๆ ซึ่งเป็นการศึกษาที่เรียกว่า การศึกษาจากแบบจำลองภูมิศาสตร์ (Climate model)
แบบจำลองทางด้านภูมิศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ผู้สนใจใช้ในการศึกษาเรื่องของปฎิกริยาเรือนกระจกกันมากที่สุดคือ แบบจำลองการหมุนเวียนของภูมิอากาศทั่วไป (General Circulation Models) หรือ GCMs แบบจำลองประเภทนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์คาดคะเนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ แต่การใช้แบบจำลองดังกล่าวก็มีข้อจำกัดอยู่ที่ว่าโลกของเรามีความสลับซับซ้อนของภูมิอากาศมากการคาดคะเนต่อความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นการยากแต่ GCMs ก็ถือว่าเป็นแบบจำลองที่น่าเชื่อถือที่สุดเกี่ยวกับปฎิกริยาเรือนกระจกในขณะนี้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้อาศัยแบบจำลองดังกล่าวทำนายเหตุการณ์ในอนาคตไว้หลายเหตุการณ์หากมนุษย์ยังไม่สามารถรับมือกับสภาวะโลกร้อนได้ เช่น
เราทุกคนมีส่วนในการดูแลโลกใบนี้ ภาพจาก www.rajinibon.ac.th
- การเพิ่มของอุณหภูมิ ในกลางศตวรรษหน้าโลกเราจะมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นถึง 2-3 องศาเซลเซียส โดยอัตราดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มของอุณหภูมิบริเวณเส้นรุ้งที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร แต่ในบริเวณขั้วโลกเหนือและใต้อุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นราว 10 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว
- การสูงขึ้นของระดับน้ำทะเล แม้น้ำทะเลสูงขึ้นแต่เพียงอย่างเดียวก็จะก่อให้เกิดการขยายตัวของน้ำทะ และเมื่อนำมารวมกับการที่ธารน้ำแข็งต่างๆละลายไหลลงสู่มหาสมุทรด้วยแล้วจะทำให้ ในปี พศ.2596 ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 3 นิ้ว ในปี 2643 ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่า 6 นิ้ว แต่ในแบบจำลองบางแบบระบุว่า ระดับน้ำทะเลจะสูงเพิ่มขึ้นถึง 15-24 นิ้วเลยทีเดียว
- การเปลี่ยนแปลงของหยาดน้ำฟ้า โดยปริมาณหยาดน้ำฟ้าที่ตกลงสู่พื้นโลกจะเพิ่มมากขึ้นทำให้อุณหภูมิบริเวณผิวดินสูงขึ้นและน้ำจะระเหยจากผิวดินมากขึ้นทำให้นักวิทยาศาสตร์พยากรณ์ว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเอเชียและอเมริกาหน้าจะประสบกับภัยแล้ง
- ความแห้งแล้งและการเกิดไฟป่าจะมีมากขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและความผันผวนของสภาพอากศ แบบจำลองดังกล่าวได้ทำนายว่าฤดูร้อนจะยาวนานขึ้นในขณะที่ฤดูหนาวจะสั้นลง รวมไปถึงสภาวะที่เกิดพายุบ่อนครั้งขึ้นและรุนแรงขึ้นกว่าเดิมซึ่งเราก็พอจะได้เห็นเค้าลางของความรุนแรงของมันมาบ้างแล้ว
- ฯลฯ
ยังมีผลกระทบอีกมากมายที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน ปัญหาเรื่องโลกร้อนไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่งหรือไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่งแต่เป็นเรื่องของประชากรชาวโลกที่ต้องดูแลรับผิดชอบร่วมกัน เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดจากผลกระทบของภาวะโลกร้อนนั้น ย่อมส่งผลให้กับเราไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกี่ยวพันกันเป็นเส้นใยของธรรมชาติที่เชื่อมโยงสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันซึ่งเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นก็ย่อมส่งผลกระทบให้กับทุกอย่างที่อยู่ในธรรมชาติดังนั้นเรามิอาจจะเพิกเฉยและนิ่งดูดายได้อีกต่อไป .....
|
|
|
|
ความคิดเห็นของคุณกับบทความนี้
...
|
|
|
Knowledge Center |
|
|
knowledge
|
|
|
|
|
|
|
|
|