ในมุมมองโดยทั่วไปแล้ว
หลายท่านยังรู้สึกสับสนกับคำว่า Coaching (การโค้ช) กับ Consultant (ที่ปรึกษา) ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ
ก็คือ
Coaching (การโค้ช) เป็นการช่วยเหลือผู้ถูกโค้ช ด้วยการที่ผู้โค้ช
จะใช้วิธีดึงศักยภาพของผู้ถูกโค้ช ออกมา ด้วยวิธีการต่างๆ
แล้วให้ผู้ถูกโค้ชดำเนินการด้วยตนเองเพื่อความภาคภูมิใจและเป็นเจ้าของแนวคิดและวิธีการ
ซึ่งโค้ชอาจมีความรู้ความสามารถมากกว่า หรือ น้อยกว่า ผู้ถูกโค้ชก็ได้
ส่วน
Consultant (ที่ปรึกษา)
นั้นจะเป็นผู้ที่คอยให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ เสนอความคิดเห็น
หรือช่วยเป็นธุระดำเนินการให้บางส่วน ตามสถานการณ์ และความรู้ความสามารถ ซึ่ง Consultant (ที่ปรึกษา) นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ความสามารถ
และทักษะเป็นอย่างมาก
คงพอมองภาพออกแล้วนะครับว่าทั้งสองอย่างนั้นมีความต่างและความเหมือนกันอยู่พอสมควร
ซึ่งผู้ที่จะเป็นโค้ชนั้น ต้องเป็นคนที่เข้าใจความเป็นมนุษย์ หรือปัจเจกบุคล
และอารมณ์เย็น เพราะความสำคัญของการโค้ช คือการจับถูก ไม่ใช่การตำหนิ ติเตียน
และจ้องจับผิดหาข้อบกพร่องของผู้ที่ถูกโค้ช
การจับถูกคือการมองหาความเป็นตัวตนของผู้ถูกโค้ช
ความถนัด ความสามารถ จุดแข็ง และที่สำคัญอีกประการหนึ่งซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของมนุษย์ทุกคนคือ
คำชม ไม่ได้ชมเพื่อให้เกิดความเหลง หรือหลงตัวเอง
แต่ชมเพื่อเพื่อให้เกิดแรงใจในการดำเนินการให้บรรลุตามเป้าหมาย
เรียกว่าเป็นการชมเพื่อสร้างแรงจูงใจ
สิ่งที่
โค้ช ต้องมีก่อนการโค้ช
ความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง
ความรู้
ทักษะ
เข้าใจบุคลิกและสไตล์ของ ผู้ถูกโค้ช
Chemistry
หรือภาวะที่เรียกว่า ศรศิลป์ กินกันได้
ปัจจัยเหล่านี้ จะนำไปสู่ Trust หรือความไว้วางใจจาก ผู้ถูกโค้ช ที่มีต่อ โค้ช นั่นเอง อย่างไรก็ตาม
ในประเด็นต่างๆ มีแง่คิดเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
กรณี
Coach นักว่ายน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น
มาร์ค สปิทซ์ (Mark Spitz) นักกีฬาว่ายน้ำชาวอเมริกันเชื้อสายยิว ผู้ได้รับรางวัล 7 เหรียญทอง
ในกีฬาโอลิมปิค 1972 ที่มิวนิค ประเทศเยอรมัน ได้รับการโค้ชจาก เชอม ชาวูม (Sherm
Chavoor) ซึ่งว่ายน้ำไม่เป็น เชอมโค้ชวิธีคิด จิตวิทยา
และทัศนคติให้กับมาร์ค จนเขาประสบความสำเร็จสูงสุดทั้งๆที่ว่ายน้ำไม่เป็น
โค้ช
ต้องเข้าใจในความเป็นปัจเจกของผู้ถูกโค้ช ว่าแต่ละคนมีความถนัดและบุคลิก ลักษณะที่ไม่เหมือนกัน
ซึ่งจะเป็นการไปสู่การโค้ชที่ประสบความสำเร็จ และแนวทางการโค้ชมีประมาณนี้คือ
1.
การโค้ชด้วยการบอก เป็นการโค้ชที่มีประสิทธิผลน้อยที่สุด เพราะว่าคนเรานั้นมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของค่านิยม
ประสบการณ์ แรงจูงใจ สไตล์ และความถนัดในการสื่อสาร การที่ โค้ช เห็นว่าอะไรดีนั้น
ไม่ได้หมายความว่า ผู้ถูกโค้ช จะเห็นเหมือนกันไปหมด การที่เราสอนด้วยการบอก
จึงอาจจะเป็นความพยายามที่จะยัดเยียด มุมมองของเราให้ ผู้ถูกโค้ช ซึ่งเขาอาจจะเลือกไม่ทำตามที่เราบอกก็ได้
2. การถามเป็นการโค้ชที่มาจากตะวันตก
เป็นวิธีที่ตำราการโค้ชของฝรั่งจะเน้นมาก ที่มานั้นมาจากแนวคิดที่เรียกว่า วิธีของโสเครติส (Socratic Method) ซึ่งคือชื่อนักปราชญ์ชาวกรีก
โสเครติสได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่ฉลาดมากคนหนึ่ง มีเรื่องเล่าว่าหากใครมีคำถามต้องการรู้อะไร
เมื่อไปถามโสเครติส จะได้คำตอบมาแทบทุกเรื่อง วิธีการก็คือ โสเครติส จะไม่ตอบคำถาม
หากแต่เขาจะตั้งคำถามกลับไปยังผู้ถาม จนกระทั่งผู้ถามสามารถค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง
วิธีนี้เป็นพื้นฐานของการคิดเชิงวิพากย์ หรือ Critical Thinking ที่ฝรั่งสอนในระบบการศึกษาและในครอบครัวของเขา
3. การโค้ชด้วยการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เป็นวิธีการที่มีมานานแล้ว ในอดีตเรามักจะทำตามที่เราเห็นคุณพ่อ
พี่ นาย ของเราทำ การโค้ชแบบนี้เป็นแนวทางที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย มีข้อควรระวังคือนายบางคนมักจะพูดอย่างหนึ่ง
แต่กลับทำอีกอย่างหนึ่ง ไม่ Walk the talk เพราะว่าผู้นำที่ดีต้องพูดและสามารถทำได้ตามที่ตนเองพูดได้
4. การโค้ชด้วยการเล่าเรื่อง เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ Coach สามารถใช้ วิธีนี้มีข้อดีคือ ไม่เป็นการยัดเยียดความคิดและวิธีการ และยังเป็นการช่วยให้ง่ายต่อการทำตามอีกด้วย
5. สำหรับการโค้ชแบบสุดท้ายที่จะยกให้ดูคือการโค้ชด้วยหนัง
ซึ่งเป็นการโค้ชที่ช่วยให้ผู้ถูกโค้ช ได้ทั้งความรู้และความบันเทิง
ในการโค้ชแบบนี้มีสองลักษณะคือการฉายภาพยนตร์เต็มเรื่องจนจบแล้วอภิปรายประเด็นการเรียนรู้
หรือการเลือกบางตอน บางช่วง สั้นๆระหว่าง 3-5 นาทีมาฉาย
แล้วให้ผู้เรียนอภิปรายแง่คิดในการเรียนรู้ ทั้งนี้ โค้ชต้องมีการเตรียมตัว
ซักซ้อม ทำความเข้าใจในหนัง แง่คิด ประเด็นการเรียนรู้
และตัดต่อให้หนังอยู่ในรูปแบบที่น่าดู
สรุป
ในการเรียนรู้นั้น
เราแต่ละคนจะได้แง่คิดที่แตกต่างกันไป เสมือนคนตาบอดหกคนเดินมาพบช้าง
ขึ้นอยู่กับว่าคนตาบอดแต่ละคนคลำส่วนใดของช้างก็จะคิดว่าช้างมีรูปร่างอย่างนั้น
หากเราต้องการเห็นภาพรวมทั้งหมดของช้างแบบ Holistic วิธีการคือ
ให้แต่ละคนระบุว่าส่วนที่ตนจับได้มีลักษณะอย่างไรเราจะใช้คำถามเหล่านี้ในการจุดประกายการเรียนรู้
คำถามทั้งห้าข้อมีจุดมุ่งหมายเดียวกันแต่ว่าเนื่องจากเราแต่ละคนชอบคำถามที่แตกต่างกัน
จึงออกแบบมาให้มีความหลากหลาย
แต่ละคนเลือกตอบคำถามเพียงหนึ่งข้อ
จากทางเลือกทั้งห้าข้อคือ 1. ท่านได้อะไรมากที่สุด2. ส่วนไหนที่จุดประกายมากที่สุด 3. ส่วนใดมีเหตุมีผลมากที่สุด
4. ส่วนใดจุดประกายมากที่สุด 5. หากมีเพื่อนถามท่านจะตอบว่าอะไร
เสกพรสวรรค์ บุญเพ็ชร
|