การลดบทบาทการบริหารระดับครอบครัวสู่มืออาชีพ
ในยุค โลกาภิวัตน์ นับได้ว่าส่งผลกระทบต่อกิจการมากมาย การบริหารการจัดการในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ กระแสจากโลกที่ไร้พรมแดนได้สร้างความตื่นตัว สร้างปฏิกิริยาต่อผู้บริหารเจ้าของกิจการในบ้านเราอย่างมาก ที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นความเคลื่อนไหวกรปรับตัวในหลาย ๆ ธุรกิจขนาดใหญ่ค่อนข้างชัดเจนในช่วงระยะหลัง
กรณีแบงก์กรุงเทพที่กำลังกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูจากการตัดสินใจปรับตัวปรับแกนนำจากผู้บริหารที่เป็นมืออาชีพมาสู่ทายาทใตระกูล โสภณพนิช อีกครั้ง ถือได้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้น่านำมาขบคิดมาพิจารณาไม่น้อย เพราะแบงก์กรุงเทพได้ทวนกระแสความคิดที่กำลังฮือฮาในเรื่องการลดบทบาทกรบริหารระดับครอบครัวไปสู่มืออาชีพ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จึงเหมือนการถอยหลังเข้าคลองในสายตาหลาย ๆ คน และก่อให้เกิดคำถามตามหลังต่าง ๆ นานาถึงทิศทางของแบงก์ใหญ่แห่งนี้ว่ากำลังก้าวเดินไปทางไหน หรือการบริหารระบบมืออาชีพเมื่อนำมาใช้กับแบงก์กรุงเทพ กลายเป็นสิ่งที่ ล้มเหลว ไปเสียแล้ว
หรือว่าคนในตระกูล โสภณพานิช เพียงใช้มืออาชีพเข้ามาขัดตาทัพชั่วคราว เพื่อบ่มทายาทของตระกูลให้พร้อมที่จะก้าวขึ้นมาในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กร ก็เป็นเรื่องที่ต้องหาคำตอบกันต่อไป
แต่เหตุการณ์ที่เกิดข้นนี้ได้บ่งบอกว่า แบงก์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเชียนอยู่ระหว่างการปรับตัวอีกครั้ง จุดนี้อาจจะเป็นสัญญาณที่นำไปสู่การไขปัญหาได้ว่า อนาคตแบงก์แห่งนี้ได้เลือกการบริหาร และจัดการในองค์กรขนาดใหญ่ด้วยระบบดั้งเดิม คือ การบริหารแบบครอบครัวก็คงไม่ผิดไปจากนี้
นี่เป็นกรณีหนึ่งแห่งการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกไร้พรมแดน แม้ว่าจะเป็นการทวนกระแสก็ตาม
เช่นเดียวกันกับแบงก์กสิกรไทยในยุค บัณฑูร ล่ำซำ ที่ประกาศอย่างเอาจริงเอาจังที่จะ REENGINEERING หรือ การยกเครื่ององค์กร และการปรับวิธีการทำงาน เพื่อให้สามารถปรับตัวในยุคเทคโนโลยีก้าวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก้าวไปสู่ความมั่นคงที่เป็นภาพจริง มิใช่เพียงภาพลวงตาที่สวยหรู ว่าไปแล้วการที่แบงก์กสิกรไทยได้เคลื่อนไหวที่จะมุ่งไปในแนวทางการเพิ่มศักยภาพขององค์กรของการทำงาน ซึ่งหมายถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการบริการ อันเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันในยุคโลกาภิวัตน์ นี่น่าจะได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากภายใน เพราะเป้าหมายที่จะมุ่งไปนั้นมีความหมายอย่างมากต่ออนาคตของพนักงานทุกคน แต่กลับเป็นว่าเกิดการต่อต้านจากสหภาพจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตซึ่งแตกต่างจากแบงก์กรุงเทพ แม้จะกลับไปย่ำอยู่กับที่แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีคลื่นใต้น้ำที่จะสร้างปัญหาให้การเปลี่ยนแปลงเกิดภาวะยุ่งยากหรือชะงักงัน
ตรงนี้ หากจะนำทั้งสองกิจการมาเปรียบเทียบถึงสาเหตุที่มีความแตกต่างของผลลัพธ์กันออกไป ก็คงพอที่จะพูดได้ว่า
ประการแรก เป็นเพราะ บารมี ของผู้นำแบงก์กรุงเทพ ชาตรี โสภณพณิช เหนือกว่าผู้นำแบงก์กสิกรไทย ทำให้การเปลี่ยนแปลงของแบงก์แรกไม่กระทบกระเทือน ต่างจากแบงก์หลัง ทั้งที่แนวความคิดของ บัณฑูร ล่ำซำ น่าจะได้รับการสนับสนุนมากกว่า เสียด้วยซ้ำ
ประการที่สอง อาจเป็นเพราะ ทัศนคติ ความเชื่อ ของพนักงานแบงก์กรุงเทพ ยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลงตามความคิดของผู้นำมากกว่าแบงก์กสิกรไทย รวมถึงอาจเห็นว่าการบริหารแบบมืออาชีพที่ผ่านมาก็ยังขึ้นตรงกับคนในตระกูลโสภณพนิชอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นระบบไหน แบงก์กรุงเทพก็มั่นคงและเป็นหนึ่งอยู่แล้ว จึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจในเรื่องนี้เท่าที่ควร
ประการที่สาม ในแงแบงก์กสิกรไทยนั้น ไม่สามารถสื่อสารให้กระจายกันรับรู้ในสิ่งใหม่ ๆ ได้ทั่วถึง หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ลึกซึ้งอาจรู้เพียงในระดับสูง เมื่อองค์กรต้องการเรียกร้องกับพนักงานทุกคนจึงเกิดผลกระทบ เพราะภายในยังไม่สามารถทำความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ประการที่สี่ คำว่า REENGINEERING เมื่อแปลเป็นไทยว่า ยกเครื่อง ทำให้ดูว่าจะมีผลกระทบที่รุนแรง เกิดความไม่แน่ใจต่อสถานของพนักงานแต่ละคน และกลัวที่จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวงตามมา
อย่างไรก็ดี เชื่อมั่นว่าความตั้งใจอย่างสูง การมองการณ์ไกลและความมีบุคลิกผู้นำที่ทันสมัยของ บัณฑูร ล่ำซำ เมื่อผ่านช่วงเวลาไประยะหนึ่ง ทุกอย่างคงเข้รูปเข้ารอยไปในทิศทางที่ดี
คราวนี้ลองหันมาดูการปรับโครงสร้างของ โอสถสภา กันบ้าง เพราะมีความน่าสนใจไม่น้อยกว่าทั้งสองแบงก์เช่นกัน หากดูผลลัพธ์ของการปรับตัวสู่การเปลี่ยนแปลง จากระบบการบริหารในรูปครอบครัว โอสถานุเคราะห์ ที่ผูกขาดมายาวนาน เป็นการดึงมืออาชีพ คือ นายประพันธ์ โชตินฤมล เข้ามาบริหารอย่างเต็มตัว ภายใต้ภาพที่บ่งบอกภายนอกว่าเป็นการถ่ายอำนาจครั้งใหญ่จากครอบครัวสู่มืออาชีพ ทุกอย่างดูจะราบรื่นด้วยดี และดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ระแคะระคายในแง่ไม่ดีเลยก็ว่าได้ และถ้าเราจับจุดนี้มากล่าวกันว่า เหตุใดทำให้ภาพพจน์ของการปรับโครงสร้างบริหารใหม่จึงดูน่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจ และไม่ก่อกระแสผลกระทบในทางลบแต่อย่างใด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นคงมาจากปัจจัยหลายประการ อาทิ
ปัจจัยแรก สังเกตได้จากยุค สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ได้มาพูดถึง GLOBALIZATION ที่จำเป็นต้องปรับตัวเองมากว่า 4 ปี แล้ว โดยได้มีการเคลื่อนไหวในการศึกษารูปแบบการจัดองค์กรใหม่มาโดยตลอด จากการปูทางมานานดังกล่าว เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงจริง พนักงานจึงไม่เกิดภาวะตกใจหรือคลางแคลงใจ
ปัจจัยที่สอง การหาบุคคลที่เป็นที่ยอมรับมากุมบังเหียน โดยเปิดทางให้อำนาจในการปรับโครงสร้างบริหาร และองค์กรใหม่ โดยเจ้าของกิจการไม่ต้องลงมาเล่นเอง ย่อมลดปัญหากับเส้นสายคนเก่าได้ในทางหนึ่ง เหมือมีเกราะกำบัง เพราะการลงมาดำเนินการเองนั้น หากเกิดแรงกระทบก็จะเกิดขึ้นโดยตรงกับตนเอง
ปัจจัยต่อมา เนื่องจากองค์กรของโอสถสภาเคยชินกับการตามผู้นำมายาวนาน วัฒนาธรรมนี้มีความต่อเนื่องมาโดยตลอด ทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่ได้รับการต่อต้าน แม้ว่าจะมีการผ่าตัดในหลายเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ เช่น การปิดกิจการ ไอเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นต้น
ในยุคโลกาภิวัตน์ที่เราไม่อาจปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้นี้ กำลังเป็นอีกบทที่ท้าทายเจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารที่จะต้องเร่งเร้าตัวเองเพื่อหาหนทางไปสู่การปรับตัว ปรับปรุงธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรให้พร้อม สามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
แต่ที่สำคัญ อย่าลืมว่าการจัดการที่สมบูรณ์แบบนั้น ต้องค้นหาวิธีการที่จะทำอย่างไรให้การเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เบื้องต้นของบันไดก้าวแรกที่มีแรงดึงดูดเชิญชวนให้องค์กรกลางเกิดความรู้สึกที่จะก้าวเดินเพื่อมีก้าวต่อ ๆ ไป เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด
ครับ ! ภารกิจของผู้นำองค์กรในยุคนี้มีความกดดันสูงมากจริง ๆ ใครที่ไม่ครบสูตรครบเครื่องก็คง ล้มเหลว ได้ในพริบตาเช่นกัน