ตำนานความงามสาวตะวันออก

ผิวหน้าเกลี้ยงเกลาแบบสาวจีนด้วยมังหมิ่ง
  การทำมังหมิ่ง  ซึ่งเป็นการถอนขนบนใบหน้าด้วยเส้นด้ายจึงเป็นที่นิยมกันมาก   เพราะนอกจากช่วยให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแล้ว ยังเป็นการนวดหน้า ทำให้โลหิตไหลเวียนและขจัดสิวเสี้ยนอีกด้วย ภายหลังการทำผิวหน้าจะเปล่งปลั่งดูสุขภาพดี

  อุปกรณ์ที่ใช้ในการถอนขนหน้ามีเพียงแป้งแข็งที่เรียกว่าติงตังหุ้ง หรือหมุ่งเม้ง แล้วแต่ยี่ห้อ มีลักษณะเป็นก้อนแป้งแข็งสีขาวคล้ายดินสอพองของไทยเรา ปกติผู้หญิงจีนใช้สำหรับผัดหน้า และด้ายเส้นเล็กๆ (ชนิดเดียวกับด้ายเย็บผ้า) เท่านั้น

  วิธีการเริ่มจาก ทาแห้งให้ทั่วใบหน้า ไม่เว้นแม้แต่หนังตาและใบหู  เพื่อช่วยให้มองเห็นเส้นขนและสิวเสี้ยนชัดเจน ทำให้ถอนขนได้ง่ายขึ้น เพราะเนื้อแป้งมีความฝืดเล็กน้อย ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้

  จากนั้นผู้ทำมังหมิ่งจะใช้ด้ายพันนิ้วมือทั้งสองให้ตึง ทบไปมาเป็นลักษณะคล้ายเลขแปด รูดไปบนผิวหน้าเพื่อให้เส้นขนพันกับด้ายแล้วดึงเร็วๆ  เป็นการลดความเจ็บปวด ทำซ้ำๆอย่างนี้จนทั่วทั้งใบหน้า  และใช้วิธีการเดียวกันนี้ถอนขนคิ้วและไรผมที่หน้าผากให้ได้รูปสวยงามด้วย

  กว่าจะเสร็จใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที เมื่อทำเสร็จใบหน้าจะเป็นสีแดงระเรื่อและคันยิบๆ สาเหตุจากการระคายเคืองนั่นเอง ความถี่ในการทำขึ้นอยู่กับว่าทำเพื่ออะไร ถ้าต้องการเพียงกำจัดขนก็ทำเดือนละครั้ง แต่ถ้าต้องการกำจัดสิวเสี้ยนต้องหมั่นทำเป็นประจำ ประมาณเดือนละ 2 ครั้ง
 
ทนาคา ตำรับผิวเนียนของสาวพม่า
  ไม้ทานาคามีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า LICODIA ACIDISSIMA เป็นไม้เนื้อแข็ง  ขึ้นในเขตแล้ง ในภาคกลางของพม่า แถบพุกามหรือมัณฑะเลย์เท่านั้น ส่วนที่มีกลิ่นหอมและเป็นสมุนไพรสารพัดประโยชน์ คือส่วนเปลือก วิธีใช้ง่ายๆที่คนพม่านิยม คือ นำท่อนทานาคามาฝนกับหินแล้วผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาทั้งใบหน้า แขน ขา และทุกส่วนของร่างกาย เช่น  บริเวณรักแร้เพื่อดับกลิ่นไม่พึ่งปรารถนา

  เปลือกทานาคาบดละเอียด หรือที่เรียกกันว่าแป้งพม่านี้ มีลักษณะเป็นผงสีเหลืองนวล ช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด จึงลดการเกิดฝ้า กระ เป็นสมุนไพรรักษาสิว เป็นแป้งเย็นแก้ผดผื่น

  ในตลาดพม่าจึงมีท่อนทานาคาวางขายไปทั่ว แถมราคาไม่แพง สำหรับบ้านเราหาซื้อได้แถวชายแดนแม่สาย จังหวัดเชียงราย หรือในกรุงเทพฯก็มีขายในรูปของผลิตภัณฑ์แปรรูป เป็นผงบรรจุตลับเรียบร้อย เพราะแม้แต่ในพม่าเองก็มีการนำทานาคามาเป็นส่วนผสมของครีม สบู่ น้ำหอม ฯลฯ 

ผมยาวสลวย เอกลักษณ์ผู้หญิงอินเดีย
  ในทางฮินดูมีเรื่องอายุรเวทเป็นพื้นฐาน เพราะคำว่าอายุร แปลว่า ชีวิต  ส่วนเวทะ แปลว่าความรู้...ศาสตร์ที่เกี่ยวกับชีวิตจึงเป็นทั้งศาสตร์ทางการแพทย์และการดูแลตัวเองในเรื่องต่างๆ  ซึ่งถูกซึมลึกอยู่ในวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวบ้านด้วย

  การดูแลเส้นผมจึงต้องประกอบกันไปกับธาตุเจ้าเรือน ซึ่งแบ่งเป็น 3 ธาตุ คือ
 - วาตะ  ผมเส้นใหญ่ แห้ง หยาบ แตกปลาย สีเข้ม แต่ไม่ดำ  หรือแม้สีดำก็แห้ง จัดทรงยาก
 - ปิตตะ ผมละเอียดกว่าทุกธาตุ  สีออกน้ำตาลแดง ค่อนข้างตรง ไม่มีหยัก ไม่มีลอน มีความมันเล็กน้อย
 - กผะ ผมมัน เส้นใหญ่ มีลอน มีน้ำหนัก เป็นสุดยอดปรารถนาของผู้หญิงแขก

  แต่ไม่ว่าใครจะมีธาตุเจ้าเรื่องอย่างไร  เขาจะใช้น้ำมันซึ่งเขาถือว่าเป็นสุดยอดนำมันจากพืช คือ น้ำมันงา  รองลงมาคือน้ำมันมะพร้าว  กระบวนการผลิตต้องไม่ผ่านความร้อน เช่น อินเดียทางตอนใต้จะปล่อยให้มะพร้าวแห้งคาต้น แล้วจึงสอยลงมาผ่าข้างในไม่มีน้ำมะพร้าวเหลืออยู่แลย เนื้อก็ล่อนหลุด เขาเอาไปหีบทั้งชิ้น  เพื่อนำมาใช้ในครัวเรือน ทั้งบำรุงผม ทาผิว  กิน เหลือใช้จึงส่งขายเพื่อแปรรูปต่อไป

  ถ้าจะผสมสมุนไพร บางสูตรใช้อำล่า (มะขามป้อม) เคี่ยวผสมกับน้ำมันงา  อีกตัวหนึ่งที่แก้ผมเสีย คือ ทางต้นตาลสดๆ หรือกาบลูกตาล (ที่นำมาทำขนมตาล) นำมาทุบคั้นน้ำให้ได้ 1 ถ้วย คราม (ที่ใช้ย้อมสีน้ำเงิน) 1 ถ้วย หญ้าแพรก ขมิ้นอ้อย  นำมาตำให้ได้ปริมาณเท่าๆ กัน แล้วนำไปเคี่ยวกับน้ำมันงาให้น้ำในสมุนไพรระเหยออก เหลือเฉพาะสารสำคัญผสมอยู่กับน้ำมันงา นำไปกรองตะกอนออก ใช้บำรุงหนังศีรษะเช่นกัน

  ใบบัวบกก็เป็นสมุนไพรยอดนิยมของสาวแขกที่ใช้กันมานาน โดยนำใบบัวบกมาปั่น คั้นน้ำไปเคี่ยวกับน้ำมันในปริมาณเท่าๆกัน ใช้ไฟอ่อนมากๆ จนน้ำระเหยไปหมด นำมากรองเก็บไว้ใช้ได้นาน เวลาจะใช้เพียงชโลมให้ทั่วหนังศีรษะและผม ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมงแล้วสระออก รักษาผมร่วงได้ดีมาก

    THANKS :         http://www.healthandcuisine.com