สังคมไทยตั้งแต่ช้านาน เป็นสังคมชายเป็นใหญ่ ซึ่งเราได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมเหล่านี้มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ตายาย หรือก่อนหน้านั้นเสียอีก นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่คนไทยยึดถือขนมธรรมเนียม ประเพณีโบราณ ในการดำเนินชีวิตประจำ แต่มีสิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คนอาจจะยังมองไม่เห็นว่า สิ่งที่เราสืบทอดต่อกันมายาวนานนั้น มีการละเมิดสิทธิใครหรือไม่ หรือทำให้คนใกล้ตัวต้องปวดร้าวหรือเปล่า
"พ่อเมา ตบเมียสลบ" "ผัวมีเมียน้อย เมียตามไปเจอ ยิงดับ" หรือพาดหัวข่าวต่าง ๆ นานา ที่เกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งมีอีกมากมายที่ไม่เป็นภาพข่าวให้เราได้เห็น ผู้ชายหลายคนหรือแม้กระทั่งผู้หญิงเองที่คิดว่าเมื่อแต่งงานกัน หญิงนั้นจะต้องเป็นสมบัติของชาย ชายจะสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ เมื่อไม่พอใจจะทำร้ายทุบตีอย่างไร คนภายนอกห้ามเข้ามเกี่ยวข้อง เรื่องครอบครัว ยังเป็นเรื่องส่วนตัวของใครต่อใครหลายคน แต่ลองหันมามองดูว่า มันถูกแล้วหรือ ที่เราอยู่ด้วยกันแล้วจะสามารถมาทำร้ายกันได้
กฎหมายบ้านเมืองระบุไว้ชัดเจน ว่าหากมีการทำร้ายร่างกายกัน ถือเป็นความผิดอาญา ไม่สามารถยอมความได้ แต่หลายต่อหลายครั้งที่ภรรยา ไปแจ้งความกับตำรวจบอกว่าโดนสามีทำร้าย กลับถูกเพิกเฉย ตำรวจบอกว่า "เป็นเรื่องครอบครัว ให้กลับไปเคลียร์กัน เดี๋ยวก็ดีกันเอง" ทั้ง ๆ ที่บางคนไปพบตำรวจ หน้าตาดูไม่ได้ หรือบางคนบาดเจ็บสาหัสต้องพักในโรงพยาบาลเป็นเวลานานนับเดือน แต่ตำรวจยังมองเป็นเรื่องส่วนตัว
เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวดีสำหรับแม่บ้านหลายคนที่ต้องทนกับความทารุณของสามี "โครงการครอบครัวสมานฉันท์" จากการทำงานของกรมคุมประพฤติ และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จัดให้มีโครงการขึ้นเพื่อควบคุมพฤติกรรมของสามีที่ชอบใช้ความรุนแรง ที่ภรรยายังให้โอกาสเขาปรับตัว เป็นโครงการที่น่าสนใจโครงการหนึ่งทีเดียว ถ้าสามารถทำให้สามีคนนั้นเปลี่ยนตัวเอง กลับมารับผิดชอบครอบครัวได้อย่างดี ไม่มีความรุนแรง
แต่ยังไม่เห็นผลว่าโครงการนี้ก้าวหน้าไปถึงไหน สามารถปรับพฤติกรรมผู้ชายได้จริงหรือไม่ ผู้หญิงจะได้รับความคุ้มครองจริง ๆ หรือว่า สามีจะใช้โครงการเป็นเครื่องมือในการไม่ถูกดำเนินคดี แล้วกลับมาใช้พฤติกรรมเหมือนเดิม เจ้าของโครงการควรพิจารณาจุดนี้ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจกระบวนการและผลที่จะได้รับอย่างชัดเจน |