บุคคลเกือบจะทั้งหมด ที่อยู่ในวัยเรียน ต่างก็คาดหวังที่จะนำความรู้ความสามารถที่ร่ำเรียนจากสถาบันการศึกษา ไปใช้ประกอบสัมมาอาชีพ ตามความรู้ความถนัดของตน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เป็นบรรทัดฐานทางสังคม เพราะเจ้าของกิจการไม่อาจประเมินตัวบุคคลจากสิ่งอื่น ๆ ได้นอกจากวุฒิบัตรซึ่งแสดงระดับความสามารถ และ เป็นเครื่องยืนยันในความ "มีความรู้" ในสาขาที่เจ้าของกิจการต้องการ แม้ในงานบางประเภท อาจจะระบุความต้องการทางด้านประสพการณ์ในงานที่เกี่ยวข้อง เป็นระยะเวลา กี่ปี ๆ ซึ่งบางครั้งก็เป็นอุปสรรคสำหรับบัณฑิตใหม่ที่ยังขาดประสบการณ์จากการทำงานในสนามจริง
ในโลกของการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจ ความรู้มากมายที่ร่ำเรียนมา บางครั้งไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าบุคคลนั้นจะสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานได้ ดังตัวอย่างมากมายที่เคยได้เห็นว่า มีเฒ่าแก่ที่เรียนจบแค่ระดับ ประถม หรือ มัธยม เท่านั้น ก็สามารถเป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ บางคน สามารถสร้างอาณาจักรทางธุรกิจให้สยายปีกบินจนร่ำรวยติดอันดับประเทศ หรือ ระดับโลก นั่นหมายความว่า ความรู้มากมายอย่างเดียว ไม่เพียงพอ ต่อการสร้างตัวให้ยิ่งใหญ่ ชนิดที่ว่าโลกต้องหันมอง เพราะถ้าเน้นแต่เฉพาะเรื่องเรียนอย่างเดียว โดยขาดซึ่งทักษะสำคัญอื่น ๆ บุคคลนั้นก็เป็นได้แค่เพียงลูกจ้างที่พอใจกับรายได้และสวัสดิการที่นายจ้างจ่ายให้เป็นรายเดือนเท่านั้น
หากมีคนเถียงว่า "ถ้างั้น...ความรู้และวุฒิการศึกษาไม่สำคัญหรือ..." ขอตอบว่า ใจเย็น ๆ... สำคัญมาก ๆ !! ความรู้และวุฒิการศึกษาเปรียบเสมือนเข็มทิศ ที่จะชี้นำทางในสมรภูมิธุรกิจและการแข่งขัน หากขาดไปหรือไม่มี ก็ไม่อาจไปถึงจุดหมายปลายทางได้ แต่สิ่งที่ต้องมีเพิ่มเติมนั้น คือ ..."จิตวิญญาณของผู้ประกอบการ" ที่กระหายความก้าวหน้า และ มองทุกเรื่องเป็นเรื่องของ "ความรู้ใหม่" ที่จะพัฒนาตนเอง ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
ลำดับต่อมาคือ "วินัยเจ้าสัว" ...คือ การทำซ้ำจนเป็นนิสัย หมายรวมถึง ความอดทนต่อกิเลสที่จะทำให้หมดความอดทน และ อารมณ์ตื่นเต้นที่รู้สึกได้เมื่อจินตนาการถึงความสำเร็จที่กำลังจะคืบคลานเข้ามาทุกขณะจิต ,ขยัน ,ประหยัด, ซื่อสัตย์ ,อดทน และอยู่ในธุรกรรมที่มีความสามารถสร้างตนได้ เพราะถึงแม้มีคุณสมบัตรครบ แต่เลือกทำธุรกิจ เข็นรถขายปลาหมึกย่าง ผู้เขียนเห็นว่า มีโอกาสร่ำรวยเช่นกัน แต่ยาก และคงมีหนทางอื่นที่จะสามารถก้าวถึงฝั่งฝันได้ง่ายกว่า
การสมัครงานเพื่อเริ่มต้นงานกับบริษัทที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงแรกของการ "เริ่ม"สร้างรายได้ ได้เอง เพราะจำเป็นที่จะต้องสะสมทุนเพื่อทำภารกิจให้ลุล่วง หากมีความสามารถสูง อาจฟลุ๊ค เลื่อนขั้นจนได้มีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญของบริษัท ร่ำรวยได้เช่นกัน แต่สำหรับบางคนที่รักความตื่นเต้น ชอบเสี่ยงอาจเลือกออกมาทำธุรกิจเองโดยมีแนวคิดที่ว่า เป็นเจ้านายตัวเอง (และเป็นเจ้านายคนอื่นด้วย) จะหลับได้สนิทใจกว่าก็ตามสบาย แต่ก็อุ่นใจได้ว่า ถึงเวลานั้น ท่านก็คงถือได้ว่า เป็นบุคคลที่ ประสบความสำเร็จไปแล้ว ในระดับหนึ่ง
ความรู้ที่ร่ำเรียนในห้องเรียน บางครั้งบางวิชา ในชีวิตการทำงาน แทบมิได้นำออกมาใช้เลย และบางครั้ง ความรู้จากการทำงานจริง ก็ไม่ได้มีในหลักสูตรที่ร่ำเรียนกันมา ที่หนักไปกว่านั้นคือ คนที่เรียนมาอีกอย่างแต่ทำงานอีกอย่างซึ่งไม่ได้ตรงตามความรู้ความสามารถที่เรียน (ทำงานไม่ตรงสาย)เป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ค่อยออก เพราะสู้อดทนเรียนมาตั้งนาน ถ้าทำงานป่านนี้คงไปได้ไกลกว่านี้อีกเยอะเลยเชียว
สุนทรภู่เคยแต่งบทกลอนที่ผู้เขียนประทับใจมาก ๆ คือ "รู้อะไร รู้กระจ่าง แต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิด จะเกิดผล" แต่ผู้เขียนเห็นว่า ยังไม่พอสำหรับ ผู้เขียน จึงขอแต่งเพิ่มเติมเข้าไปอีกเป็น "รู้อะไร รู้กระจ่าง แต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิด จะเกิดผล รู้จริงแล้ว ยังไม่พอ ต้องอดทน ความฝันตน คือดวงดาว ก้าวต่อไป" หมายความว่า รู้จริงแล้ว ต้อง ลงมือทำและ มีความ "ทะเยอทะยาน ใฝ่สูง" อย่างสมเหตุสมผล และ มีสติด้วย...
17 มกราคม 2551
โดย : วิเศษสิทธิ์ ทองบาง Kenijiro SETTRADE.COM Value Calculat Investor
|