เมื่อครั้งอดีตกาลอันนานโพ้นยังมีเรื่องเล่าปรัมปราอยู่เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับเศรษฐีผู้มากทรัพย์ ในดินแดนทะเลทราย ซึ่งมีนิสัยเย่อหยิ่งชอบอวดโอ้ถือความร่ำรวยในทรัพย์สินเงินทองที่ตัวเองเพียรสะสมมาจากการค้าขายกับต่างเมือง และมรดกกองโตที่บิดามารดาทิ้งไว้ให้ เขามักจะพูดจาข่มคนอื่นอยู่เสมอว่า ทรัพย์สมบัติที่ข้ามีนั้นสามารถซื้อโลกทั้งใบมาไว้ในมือได้ จนใครต่อใครในหมู่บ้านต่างพากันเอือมระอา กับวาจาประจำตัวของมหาเศรษฐีผู้ถือดีในทรัพย์สินที่ตนถือครองเพียงชาตินี้ แต่กระนั้นก็ยังมีนักบวชคนหนึ่งเคยพูดขัดวาจามหาเศรษฐีขี้โอ่ว่า ทรัพย์สมบัติที่ท่านมี ยังหาค่ามิได้เท่ากับน้ำหนึ่งหยดยามกระหาย
แทนที่มหาเศรษฐีจะทำความเข้าใจในข้อความที่แฝงไปด้วยปรัชญาอันลึกซึ้ง เขากลับทำตัวตรงกันข้าม เขายิ่งคลั่งไคล้และบ้าอำนาจของทรัพย์สมบัติที่บันดาลให้เขาทำอะไรได้อย่างใจยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่ามหาเศรษฐีจะทำอะไร จะขยับตนไปทางไหน สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คืออุปนิสัยของการเอาเงินฟาดหัวคนอื่นที่มีฐานะด้อยกว่า และเขายังคงโอ้อวดความร่ำรวยของเขาต่อไปอย่างไม่สำนึกอะไร
จนกระทั่งวันหนึ่ง กองคาราวานของเศรษฐีได้ประสบกับพายุทราย ขณะกำลังเดินทางผ่านทะเลทรายเพื่อไปทำการค้าขายกับอีกหัวเมืองหนึ่ง ร้ายแรงจนถึงขั้นกลบบริวารและทรัพย์สินบางส่วนของมหาเศรษฐีหายไปใต้ผืนทรายภายในพริบตา
คงเหลือไว้แต่มหาเศรษฐีที่รอดตายราวปาฏิหาริย์พร้อมกับถุงสมบัติที่ติดตัวเขาอยู่
แต่ทว่า.....
เขากำลังจะตาย....เพราะร่างกายขาดน้ำ
ขณะที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการขาดน้ำและอาหาร มหาเศรษฐีก็พบกับนักเดินทางคนหนึ่ง ซึ่งกำลังขี่อูฐผ่านมาทางตน เขาจึงร้องให้นักเดินทางคนนั้นหยุดก่อน พร้อมกับกล่าวกับนักเดินทางด้วยเสียงอันแหบแห้งว่า ช้าก่อนท่านนักเดินทาง ข้าทั้งหิวและกระหายน้ำเหลือเกิน ท่านพอจะมีน้ำและอาหารให้แก่ข้าบ้างไหม ข้าอยากจะขอแลกอาหารที่เจ้ามีกับสมบัติถุงนี้ เจ้าจะยอมแลกได้หรือไม่ พูดจบมหาเศรษฐีก็ปล่อยถุงสมบัติไว้ตรงหน้านักเดินทาง
หลังจากหยุดฟังคำร้องขอของมหาเศรษฐี นักเดินทางก็ก้าวลงมาจากหลังอูฐ แล้วเปิดปากถุงดู จึงเห็นว่าเป็นสมบัติจริงดังคำที่มหาเศรษฐีกล่าวอ้าง ดวงตาเขาเป็นประกายวาววาบขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะหยุดกึกเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วเขาก็ส่ายหน้า พูดกับมหาเศรษฐีว่า จริงอยู่ว่าข้าหวังในทรัพย์สมบัติของท่านอยู่มาก แต่ข้าเองก็เหลือเสบียงอยู่น้อยนิด มีแค่เพียงพอประทังชีวิตให้ข้ามพ้นทะเลทรายนี้ไปได้เท่านั้น ระยะทางของข้าก็ยังอีกยาวไกล ถ้าจะต้องเสี่ยงแลกอาหารที่มีทั้งหมดกับทรัพย์สมบัติของท่านข้าคงจะทำไม่ได้ หากข้าทำเช่นนั้นข้าคงต้องตายกลางทะเลทรายนี้พร้อมกับสมบัติของท่านอย่างแน่นอน ข้าต้องขอโทษด้วยที่ข้าช่วยอะไรท่านไม่ได้ แม้แต่จะให้อูฐของข้าแบกน้ำหนักเพิ่มไปจากที่มันแบกอยู่ พูดจบชายนักเดินทางก็กระโดดขึ้นหลังอูฐและออกเดินทางต่อไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง มหาเศรษฐีผู้อ่อนแรงเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนี้เองมหาเศรษฐีจึงเริ่มสำนึกตัวได้แล้วว่า สมบัติที่เขามีอยู่มากมายนั้นไม่สามารถ จะหาซื้อน้ำได้สักหยดในทะเลทรายเช่นนี้
หากจะคิดด้วยหัวใจ
ตอนจบของนิทานเรื่องนี้ คือ เศรษฐีขี้โอ่ต้องตายกลางทะเลทราย
เพราะร่างกายขาดน้ำ
แต่
นี่คือ จุดเริ่มต้น ของเรื่องเล่า ที่มีชีวิตมหาเศรษฐีเป็นต้นเรื่อง
มหาเศรษฐีผู้หยิ่งผยองในความมั่งมีของตน ได้ผูกติดความสุขของตัวไว้กับการมีแก้วแหวนเงินทองรายล้อมรอบกาย จนทำให้มองข้ามความเป็นจริงของชีวิตไปว่า แท้ที่จริงแล้วเขากำลังติดอยู่ภายใต้วงล้อมของกับดักที่เขาขุดขึ้นมาขังตัวเอง และความสุขที่เขามีอยู่เป็นเพียงสิ่งจอมปลอม ที่ถูกสมมติค่าให้โดยใครก็ไม่รู้ที่เกิดก่อนเขาหลายร้อยปี
อุปนิสัยของมหาเศรษฐีในเรื่อง ช่างเหมือนกับการดำรงชีวิตของคนในยุคที่มองกันแต่ว่า ทรัพย์สมบัติที่แสวงหามาได้มีค่ามากมาย ทำให้สามารถซื้อหาจับจ่ายสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคมมนุษย์ได้เกือบทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา จนลืมมองที่ความเป็นจริงว่า จริงๆ แล้วคนเราต้องการอะไร
ต่อให้มีเพชรเม็ดโตสัก 100 กระรัต ขณะอยู่ในป่าดงดิบ เพชรในมือที่ถือว่ามีค่าจนมีแต่คนช่วงชิงอยากได้ ก็คงเทียบได้เท่ากับก้อนกรวดตามทางเดิน วัตถุธรรมดาที่นำมาทำเป็น แก้ว แหวน เงิน ทอง เป็นเพียงของที่ถูกนิยามค่าให้ ซึ่งเทียบไม่ได้กับข้าวปลา อาหาร คุณธรรมและความดีงาม ที่ไม่ต้องให้ใครมาสมมติค่าให้ มันก็มีคุณค่าในตัวตนของมันได้อย่างแท้จริง
ในเมื่อธาตุแท้ของ ทรัพย์สิน แต่เดิมเป็นเพียงแค่แร่ธาตุ และวัตถุที่แทบจะหาค่าใดไม่ได้เลยในธรรมชาติของมัน แต่เพราะความแวววาวของเพชรและความเปล่งปลั่งของทองคำที่คนเราไปพบเห็นต่างหาก ทำให้พวกมันถูกยกย่องว่ามีค่า จนนำมาซึ่งการแก่งแย่งช่วงชิง ฆ่าฟันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุเหล่านั้น นอกจากนี้มันยังถูกเพิ่มค่าเข้าไปอีก ด้วยการกำหนดให้มีค่าไว้ใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนสินค้า แทนการแบกสิ่งของชิ้นใหญ่มาแลกกันอย่างเช่นที่เคยทำในอดีต
ทรัพย์สิน เงินทอง จึงกลายมาเป็นสิ่งที่ผู้คนทั้งโลกต่างต้องการ
จนมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าค่าของทรัพย์สินทั้งหลายถูกคิดค้นขึ้นมา เพื่อความสะดวกสบายในการใช้สอย ใยคนเรายังติดตรึงอยู่กับคุณค่าจอมปลอมเหล่านี้ แทนที่จะเพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิตตัวเองด้วยการหมั่นทำความดี และมองให้ลึกถึงคุณค่าของสิ่งของ มากกว่าจะมองว่าสิ่งของนั้นมีราคาค่าตัวเท่าใด หากคนเราใช้สัจธรรมนำชีวิต ชีวิตก็จะไม่ติดบ่วงของภาพลวงตาเช่นเดียวกับมหาเศรษฐีในนิทานเรื่องนี้ที่พลั้งเผลอติดบ่วงมาแล้ว
|