การได้เป็นตัวของตัวเองคือสิ่งที่วิเศษที่สุด
เมื่อตอนเป็นเด็กน้อยผมเคยใฝ่ฝันในสิ่งที่ผมอยากจะเป็นมากมาย เห็นคุณครูก็อยากเป็นคุณครู , เห็นตำรวจก็อยากเป็นตำรวจ , เห็นทหารก็อยากเป็นทหาร , เห็นนายกรัฐมนตรีก็อยากเป็นนายกฯกับเขาบ้าง , เห็นไอ้มดแดงก็อยากเป็นเพราะดูเท่ห์ดี และอีกสารพัดที่อยากเป็น จนเติบโตขึ้นมาเริ่มได้รับรู้ข้อเท็จจริงต่างๆในอาชีพได้มากขึ้น ได้เห็นรายละเอียดผสานรวมกับสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาให้รับรู้ ทำให้เห็นถึงสิ่งที่ผมอยากจะเป็นได้ชัดเจนขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงความคาดหวังเท่านั้น
เคยคิดไหมครับว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้คนเราต้องมีอาชีพนั้น อาชีพนี้ มีอะไรเป็นปัจจัยบ้างลองพิจารณาข้อมูลจากตารางที่ผมนำเสนอ ดังต่อไปนี้ครับ
ปัจจัย |
กลุ่มที่๑ |
กลุ่มที่๒ |
การศึกษา |
มุ่งมั่น ตั้งใจที่จะศึกษาเพื่อประกอบอาชีพในสาขานั้นๆโดยตรง |
ศึกษาตามแฟชั่น / จำเป็นต้องศึกษาเพื่อให้ได้ใบเบิกทางมาประกอบอาชีพ / ประดับบารมี |
ความจำเป็น |
ยอมรับในสิ่งที่ต้องเป็นและพยายามมุ่งมั่น ตั้งใจศึกษาเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง |
จำใจต้องทำเพราะไม่มีโอกาสเลือก เช่น ไม่มีวุฒิการศึกษา , การทำงานไม่ตรงกับสิ่งที่ศึกษามา |
ความอยากเป็น |
มุ่งมั่น ตั้งใจและพัฒนาตนเองเพื่อเป็นในสิ่งที่ตนต้องการ |
อยากไปเรื่อยๆทำได้หลากหลายอาชีพ หากได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีกับตนเองก็เปลี่ยนงาน / เปลี่ยนองค์กร |
จากตารางที่ผมนำเสนอจะจำแนกกลุ่มคนประกอบอาชีพ จากแต่ละปัจจัยออกเป็น ๒ กลุ่ม เราคิดว่าส่วนใหญ่ในสังคมไทยจะตกที่ปัจจัยใดและกลุ่มใดมากที่สุด แล้วตัวเราเองอยู่ในปัจจัยใดและกลุ่มใด?
กลุ่มที่๑ ของทุกปัจจัย มีแนวโน้มที่จะพัฒนาตนเองในช่วงชีวิตการทำงานได้เป็นอย่างดี อันมีปัจจัยเกื้อหนุนมาจากความมุ่งมั่นตั้งใจในสิ่งที่ตนเองคาดหวัง คนที่อยู่ในกลุ่มนี้ของทุกทุกปัจจัยจะศึกษาเรียนรู้ทุ่มเทให้กับอาชีพของตนได้มากที่สุด และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนในอาชีพเดียวกันรุ่นหลังๆได้ต่อไป
กลุ่มที่๒ ของทุกปัจจัย สามารถพัฒนาตนเองในช่วงชีวิตการทำงานได้แต่จำเป็นต้องอาศัยเวลาศึกษาเพื่อทบทวนตนเองควบคู่ไปกับการทำงานด้วย หากสามารถค้นหาตนเองได้เร็วก็มีแนวโน้มที่จะเรียนรู้ทุ่มเทให้กับอาชีพที่เหมาะที่ควรกับตนเองได้ แต่ถ้าไม่มีโอกาสทบทวนตนเองและปล่อยให้ช่วงชีวิตการทำงานผ่านพ้นไป ก็นับว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก ท้ายที่สุดก็จะขาดจุดยืนของตนเอง เพราะไม่รู้จักตนเอง
ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกนะครับที่เป็นองค์ประกอบอย่างเพิ่งไปด่วนสรุปและตัดสินจากข้อเท็จจริงที่ผมนำเสนอ เพราะการทำงานเป็นเพียงบทบาทหนึ่งของมนุษย์ แต่นอกเหนือจากเวลาทำงานแล้ว ทุกๆคนก็มีบทบาทอื่นๆอีกที่จะต้องเป็น ได้แก่ บทบาทการเป็นลูกที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ , บทบาทการเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่ดีของลูกๆ , บทบาทการเป็นสามี-ภรรยาที่ดี , บทบาทของเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร , บทบาทของพุทธศาสนิกชนที่ดี ฯลฯ ทุกบทบาทที่เราเป็นมีแนวโน้มให้เราหลงตัวเองได้ตลอดเวลา หากเราไม่รู้จักตนเองอย่างดีพออาจหาทางกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ ท้ายที่สุดเกิดการละเมิด ก้าวล่วงความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน นี่คือความสามารถพิเศษของมนุษย์ที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทอื่นไม่มี
ความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทอื่นก็คือ มนุษย์มี แรงแห่งกรรม ติดตัวมาทุกคน แต่มากน้อยนั้นไม่เท่ากัน คำนี้ผมบัญญัติขึ้นจากองค์ความรู้ ที่ผมได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับ Competencies ของ ศาสตราจารย์ David C McClelland ตอนที่ได้ศึกษาแรกๆยอมรับครับว่าไม่ลึกซึ้งเนื่องจากผมมุ่งเน้นคุณค่าที่เปลือกนอกมากเกินไป ระบบนี้องค์กรร่วมทุนต่างชาติ (ตะวันตก) ในประเทศไทยนำมาใช้เป็นกลุ่มแรกๆหลังจากนั้นมีการถ่ายทอดต่อกันมาเป็นค่านิยม มากกว่าการเห็นถึง คุณค่าที่ควรนิยม หลังจากที่ผมได้ศึกษาลึกลงไปจึงพบว่า แท้จริงแล้วมันก็คือปรัชญาในการดึงเอาสิ่งที่ดีงามในตัวมนุษย์ทุกคนออกมาใช้ และเรียกสิ่งนั้นว่า Competencies คนไทยเราก็พยายามนำมานิยามความหมาย (เนื่องจากเป็นศัพท์เฉพาะที่บัญญัติขึ้นมาใหม่) อย่างหลากหลายตามทรรศนะของผู้ที่ได้ศึกษาเรียนรู้มาว่า สมรรถนะบ้าง , ขีดความสามารถบ้าง , ศักยภาพบ้าง ฯลฯ และอื่นๆที่จะพยายามสื่อให้เห็นถึงบริบทของ Competencies แต่ผมมีมุมมองส่วนตัวดังนี้ครับ
จากโมเดลภูเขาน้ำแข็งของ Spencer ที่อธิบายบริบทของ Competencies ทำให้เรารับรู้ได้ว่า ทุกวันนี้มนษุย์เราใช้ส่วนที่โผล่พ้นน้ำ (ความรู้,ความเข้าใจ,ทักษะ) เพียงน้อยนิดเนื่องจากเป็นสิ่งที่ใครๆก็สังเกตเห็นได้ แม้กระทั่งผู้บังคับบัญชาของเราทุกวันนี้ก็ประเมินผลงานเราจากสิ่งที่เขาเห็นเท่านั้น ในขณะที่ส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำนั้นมีปริมาตรมากกว่าหลายเท่าตัว และเป็นส่วนที่มีพลังความสามารถที่จะจมเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ๆได้ทั้งลำ (ตัวอย่างเช่น ไททานิค) ในตัวของมนุษย์สิ่งที่ซ่อนอยู่ในเบื้องลึกก็คือ สิ่งที่เป็นตัวตนของเรา (ได้แก่ แนวคิดแห่งตน , อุปนิสัย , แรงขับ ฯลฯ) สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน แต่มากน้อยนั้นต่างกันตามกฎของปัจเจก เป็นสิ่งที่ไม่มีใครมองเห็นแม้กระทั่งตัวเราเองถ้าไม่เคยได้ศึกษาเรียนรู้ เราก็จะไม่มีวันได้ตระหนักรู้เลย เป็นเสมือนสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด ผมจึงเรียกว่า แรงแห่งกรรม นั่นก็คือ ศักยภาพนั่นเอง
สิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อไปก็คือ ศักยภาพนั้นมันไม่สามารถเพิ่มหรือลดได้ เพราะมันมีอยู่แล้วตามกรรม เพียงแต่เราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะดึงศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเองออกมาใช้สร้างสรรค์ความดีงามให้กับชีวิตเรามากที่สุด ซึ่งวิธีการหนึ่งก็คือ การเพิ่มระดับขีดความสามารถของเราให้สูงขึ้นนั่นเอง เทียบเคียงกับพลังงานศักย์ของสสารที่เกิดจาก ผลร่วมของค่ามวลคูณด้วยค่าแรงดึงดูดคูณด้วยระดับความสูงจากแนวระนาบ ระดับความสูงของวัตถุยิ่งสูงก็จะยิ่งมีพลังงานศักย์สะสมมากขึ้นตามไปด้วย ฉันใดก็ฉันนั้น ดังนั้น Competencies ก็คือ รูปแบบที่เป็นระบบในการพัฒนาขีดความสามารถของมนุษย์นั่นเอง
จากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ขัอที่๑ ได้กล่าวว่า มนุษย์ทั้งหลายเกิดมาอิสระเสรีและเท่าเทียมกันทั้งศักดิ์ศรีและสิทธิ ทุกคนได้รับการประสิทธิ์ประสาทเหตุผล และมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันอย่างฉันพี่น้องชี้ให้เห็นถึง คุณค่า ของมนุษย์ที่ไม่มีเงื่อนไขของความไม่เท่าเทียมกันเข้ามาเกี่ยวข้อง การนำระบบพัฒนาขีดความสามารถมาใช้นั้น อยู่บนความเสมอภาคตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเหมะสม ด้วยแนวคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนมีความใฝ่ดีตกตะกอนอยู่ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึก (จิตไร้สำนึก) ที่ได้รับอิทธิพลมาจากสมองซีกขวา เป็นความจำระยะยาวที่ยากต่อการลืมเลือน และมีพลังมากแต่ไม่สามารถนำมาใช้ในสภาวะรู้สำนึกได้ แต่เราสามารถฝึกฝนเพื่อพัฒนาพลังแห่งความดีงามตรงนี้มาใช้ประโยชน์ได้ นักจิตวิทยากล่าวว่าหากเราหัดพูดกับจิตใต้สำนึกเราก็สามารถสร้างพลังขึ้นในตัวได้ อย่างเช่นเราพูดกับจิตใต้สำนึกว่า คืนนี้เราจะตื่นตีห้า ทำใจให้แน่วแน่เพ่งอยู่ในการตื่นเวลาตีห้า พอถึงตีห้า จิตใต้สำนึกก็จะปลุกเราเอง ถ้าเราเป็นคนขลาดขี้อาย เราพยายามพูดกับจิตใต้สำนึกว่าเราจะไม่ขลาดเราจะไม่ขี้อาย ความขลาด ความขี้อายก็จะหายไปเองเป็นต้น
มาถึงวันนี้ผมอยากบอกกับทุกคนว่า การเป็นตัวของเราเองนี้แหละเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด สิ่งดีมีอยู่กับตัวเองแล้ว เรายังจะไม่รู้ไม่เห็นอีกต่อไปหรือเปล่า จะปล่อยให้วันเวลาล่วงเลยไปจนวาระสุดท้ายในชีวิตมาถึง น่าเสียดายโอกาสดีที่ได้ลิ้มรสการเกิดเป็นมนุษย์นะครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์รณชัย คงสกนธ์ มันสมองของวิเศษในตัวของท่าน ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี