ศาลเจ้าขี้หมา
สภาพครอบครัวของคนในชนบท ที่ต้องนั่งล้อมวงกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันทุกมื้อ โดยเฉพาะมื้อเย็นและเมื่อความมืดเริ่มเข้าปกคลุม ก็จะอยู่บ้านใครบ้านมัน โดยอาศัยแสงจากตะเกียงน้ำมันก๊าด พ่อก็มักจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังโดยมีแม่เป็นผู้สนับสนุน
ไอ้หนู... ลูกรู้มั้ยว่าในป่า มีศาลเจ้ามากมาย แต่ละที่ มันก็มีที่มาต่างๆ กันไปด้วย ตอนที่พ่อไปตัดไม้ มาปลูกบ้าน ที่ไปกับอาของเอ็งคราวหลังก่อนที่จะเลิกไปป่ากัน
ออกเดินทางกันตั้งแต่ รุ่งสาง เอาควายเทียมล้อ(เกวียน) เอาเสบียงใส่ถุงปุ๋ย มันก็มี ข้าวสาร น้ำปลา หม้อ กระติกน้ำ แล้วก็พริกป่าที่ปรุงพร้อมสำหรับการทำอาหารได้หลายอย่าง
พริกป่า ก็จะประกอบไปด้วย ปลาร้า กระชาย พริก มะขามเปียก โขลกรวมกันแล้วก็ใส่เกลือลงไปด้วยทำให้สามารถใช้เป็น น้ำพริก ที่เอาผักมาจิ้มกินกับข้าวได้เลย หรือเป็นพริกแกงส้ม แกงป่า ได้ทั้งนั้น ทำใส่ถุงไป สองถึงสามกิโลกรัม ใช้กินได้หลายวัน
รอนแรมไปในป่าแถวเขตติดต่อระหว่างจังหวัดพิษณุโลก กับเพชรบูรณ์เป็นสิบวันกว่าจะกลับมาในแต่ละครั้ง เดินไปสี่ถึงห้าชั่วโมงก็ต้องหยุดพักเติมอาหารให้ควาย
พ่อเล่าให้ฟังว่า ในระหว่างการเดินทาง ถ้าควายไม่ถูกกัน มันก็พยายามที่จะเดินไปแล้วก็มองหน้ากัน พอมองกันนานๆ ก็จะพยายามเข้ามาขวิดกัน บางครั้งมันส่งผลเสียหายถึงเกวียนหักเลยทีเดียวเพราะแทนที่มันจะเดินไปข้างหน้ามันกลับเดินเข้าหากันเพื่อที่จะประลองกำลังกัน ทำให้แอคที่อยู่บนบ่าหัก และบังคับไม่ได้ คันธูปที่ทำด้วยไม้ก็อาจหักได้เช่นกัน
การแก้ไขไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็คือการนำเอาตับแฝก(หญ้าแฝกที่นำมากรองหรือผูกเป็นแผงเพื่อใช้มุงหลังคา) นำมาแขวนไว้ตรงกลางเพื่อไม่ให้ความมองเห็นหน้ากันก็จะทำให้การเดินทางราบรื่นขึ้น
เมื่อรอนแรมเข้าไปถึงเขตป่าที่จะไปเลือกตัดไม้ ฟังดูแล้วเหมือนเป็นการบุกรุกป่า แต่ก็เกวียนละต้นเท่านั้นเองไม่ได้มากและไม่ได้ทำเป็นอาชีพเพราะเป็นการไปตัดมาสร้างบ้านที่อยู่อาศัยซึ่งถ้าเป็นต้นใหญ่ประมาณ 2 คนโอบก็ใช้ต้นเดียวได้บ้านเป็นหลังเลยละ
เที่ยงวันก็เลือกทำเลที่จะหยุดพักเพื่อกินข้าวเที่ยงโดยเป็นที่มีร่มเงาของต้นไม้ใกล้แหล่งน้ำนำข้าวที่หุงไว้เมื่อช่วงเช้ามารอมวงกันกินร่วมกันโดยบางคนก็เก็บผักที่สามารถกินได้ดิบๆ ติดไม้ติดมือมาด้วย เพื่อจิ้มกับน้ำพริกป่าที่เตรียมมาแต่บ้านก็สร้างความเอล็ดอร่อยไปได้หนึ่งมื้อ เหมือนกับเจ้าควายที่เทียมแอคลากเกวียนมาช่วงเวลาหนึ่งแล้วก็ เคี้ยวเอื้อง นอนน้ำอย่างมีความสุข ควายเอ้ย!!!
ต่างกรรม ต่างวาระ
สุขสบายไม่เหมือนกัน
ระหว่างคนกับควาย แล้วทำไม คนชอบด่ากันเองว่า ไอ้ควายเอ้ย
มื้อกลางวันก็ยังไม่เท่าไรเพราะพักนานไม่ได้ หนทางยังอีกไกล ก็ได้พักขา (ควาย) ชั่วกินข้าวอิ่ม แล้วก็เดินทางต่อ การที่เกวียนเดินทางต่อแถวกันก็ดีไปอย่าง ที่ระหว่างกลางคนคุมเกวียนสามารถงีบได้ถ้าไม่ตกจากเกวียนลงมา ความสำคัญจะอยู่ที่เกวียนคันแรกและคันสุดท้าย ด้วยควายมันจะเดินตามกันไปเรื่อยๆ
แล้วใครว่าควายมันโง่นะ ?
อาทิตย์อัสดง ก็เริ่มหาที่พักแรมกันอีกครั้ง คราวนี้ต้องเป็นที่โล่งสักนิดเอาเกวียนมาจอดล้อมกันเป็นวง ถ้ามีต้นไม้ใหญ่สักสองสามต้นก็จะดีมาก แต่บางครั้งเลือกไม่ได้ก็ต้องในป่าแต่ก็ต้องจัดเวรยามเฝ้าระวังกันอย่างดี เรื่องเต็นท์ไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มี
เมื่ออาหารเย็นที่แสนเรียบง่ายเรียบร้อยแล้วก็นั่งสูบยาเส้นคุยกัน หรือไม่ก็วางแผนกันว่าพรุ่งนี้จะไปทางไหน พักตรงไหน จะไปหาใครนำทางหรือเปล่า รู้จักใครแถวนั้นบ้าง เป็นการวางแผนงานไปในตัวขณะพักผ่อน
บ้างก็เล่าความหลังที่ผ่านมา หนักไปทางเรื่องนินทากันบ้าง หยอกล้อกันบ้างพอได้เสียงเฮฮา
เฮ้ย ได้กลิ่นเหมือน ขี้หมาว่ะ!
ลุงเอ่ยขึ้นพร้อม สอดส่ายสายตามองหา ตามกลิ่น
ทุกคนก็เลยมองหาเพราะรู้สึกว่าได้กลิ่นเหมือนกัน
อยู่นี่เอง อาบอกพร้อมกับหักกิ่งสาบเสือ ไปวางคลุมไว้สามสี่กิ่งเพื่อกลบกลิ่นที่คลุ้งออกมา
พูดคุยกันไป พอมีกลิ่นก็หักใบสาบเสือไปคลุมไว้ เรื่อยไป
เช้ามาก็เห็นว่าก้อนขี้หมานั้นถูกปกคลุมไปด้วยใบสาบเสือ เป็นกองโต แต่ก็ไม่มีใครสนใจแล้ว ต่างเก็บข้าวของขึ้นเกวียนแล้วก็นำเอาควายมาเทียมเกวียน เพื่อเดินทางต่อไป
พ่อเล่าว่า พอจะออกเดินทางหันกลับไปมองดูท้ายขบวนที่อาอยู่ปิดท้ายแถว เห็นอากำลังเอาธูปที่จุดบอกกล่าวเจ้าป่าเจ้าเขา ไปปักไว้ข้างหน้ากองกิ่งสาบเสือที่คลุมขี้หมาอยู่ ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพราะเขามีกฎอยู่ว่าในป่าใครจะทำอะไรห้ามทักในทันทีทันใด แต่เมื่อผ่านมาแล้ว ค่อยบอกกล่าวตักเตือนทีหลังมิฉะนั้น เขาว่าผีป่า หรือภูติ อื่นๆจะทำร้ายคนทักทันที
ก็เช่นกันพอพักกินข้าวกลางวัน พ่อก็เลยถามอาว่าทำอะไรเมื่อเช้า
ก็เอาธูปไปคาราวะ เจ้าขี้หมาเขาหน่อย
มึงก็ทำอะไรพิเรนอยู่เรื่อย คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อนทำนะโว้ย!
เอาน่า ไม่มีอะไรหรอกน่า ทิดก็บ่นเป็นคนแก่ไปได้!
แล้วเรื่องนี้ก็ลืมกันไป จนกระทั่งการไปตัดไม้ในป่าเป็นที่เรียบร้อย จนพร้อมที่จะเดินทางกลับ
บางคนก็จะมีความรู้สึกว่าครอบครัวผมเป็นคนที่ทำลายป่า แต่เท่าที่จำได้ผมเห็นคุณพ่อออกเดินทางไปกันประมาณ 4 - 5 ครั้งเท่านั้นเอง เพราะเป็นการไปตัดต้นไม้มาสร้างบ้านกัน เมื่อได้ขอนไม้มาแล้วก็จะทำการเลื่อยไม้จากที่เป็นขอน ออกเป็นแผ่น ตามต้องการ โดยการใช้เลื่อยอก ที่คนสองคนดึงกันไป ดึงกันมา จนได้เป็นแผ่นไม้นั่นแหละ
เมื่อการเวลามาถึงการเตรียมการเดินทางกลับก็มาถึง ไปอย่างไรก็กลับอย่างนั้น แต่การเดินทางกลับต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะมีขอนไม้ที่หนักอึ้งอยู่บนเกวียน และใช้พละกำลังของเครื่องยนต์ สองตัวแปดขา(ควาย) ออกแรงดึงเหมือนเป็นการชักลากขอนไม้
การชักลากคือการใช้เครื่องจักรหรือแรงงานจากสัตว์เช่น ช้าง ลากเอาขอนไม้มารวมกันโดยไม่มีล้อเลื่อนมาช่วยผ่อนแรง
การเดินทางในช่วงเที่ยวกลับนี้จะช้ากว่าการเดินทางในช่วงเที่ยวมา เพราะมีน้ำหนักมากขึ้นอย่างที่ว่ามานั่นแหละ เมื่อผ่านจุดพักที่ เอากิ่งสาบเสือวางทับปิดกองขี้หมา และอาก็เอาก้านธูปมาปักไว้ รู้สึกว่ากิ่งสาบเสือมันเริ่มมีมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพียงผ่านเลยไป
เที่ยว ต่อมา เมื่อการเดินทางเหมือนเดิมเริ่มต้นอีกครั้ง
ขบวน เกวียน ต่อแถวกัน ยาวหลายเล่ม หลายคัน
เสียงวงเหล็กบดถนนลูกรัง ดังก็อก แก็กๆ ๆ ๆ
เสียงเพลาของเกวียนสีกัน เอียด อ๊าด ๆ ๆ ๆ
พ่อหยุดพูดพ่นควันจากมวนยาสูบ คลุ้งเหนือตะเกียงน้ำมันก๊าด ..........
คราวนี้พอผ่านจุดที่เคยเอากิ่งสาบเสือวางทับกองขี้หมาอีกครั้ง ทุกคนในขบวนเกวียนปิดปากเงียบมองหน้ากันแบบ
อึ้ง ตะลึง ประหลาดใจ
เพราะมันมีศาลขนาดพอประมาณตั้งอยู่แทน แล้วบนศาลก็มีกิ่งสาบเสือแห้งวางอยู่ แสดงว่ามันถูกวางไว้นานแล้ว
อา... คนเดิมอีกแล้ว....
เดินหักกิ่งสาบเสือไปวางบนศาลแล้วยกมือไว้เหนือหัวพร้อมกับพูดดังๆ ว่า
....เจ้าประคูณ เจ้าพ่อขี้หมา ขอให้เดินทางปลอดภัย มีโชคมีชัยกันทุกคนน้า สาธุ .........
แล้วก็ไม่มีใครเอามาล้อเล่น เพราะ ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ มันยังใช้ได้อยู่ จริงๆ