ผีซ้ำ ด้ามพลอย
ชนบท หรือท้องทุ่งนาเป็นที่เจริญตา เป็นอย่างดีสำหรับคนที่ทำงานอยู่ในเมือง หรือทำงานอยู่ในภาคอุตสาหกรรม พอได้กลับไปบ้านเพื่อเยี่ยมเยือนพ่อ แม่ หรือญาติพี่น้อง ได้สัมผัสกลิ่นไอของ ความสดชื่นแล้ว รู้สึกไม่อยากที่จะกลับเมืองที่แสนจะวุ่นวายอีกเลย
ถนนลูกรัง ที่พอรถวิ่งผ่านทีไรทำให้ฝุ่นคลุ้งไปทั่ว แต่ก็ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครว่าอะไร เพราะนานทีจะมีรถวิ่งหรือแล่นผ่านสักคัน ยิ่งถ้าเป็นรถเก๋งผ่านมา คนในหมู่บ้านจะมีความรู้สึกประหลาดใจ เพราะ ไม่รู้ว่าเป็นใคร มาทำไม
ด้วยในหมู่บ้านมีแต่รถกะบะคันเก่าๆ อยู่แค่ไม่กี่คัน กับรถสองแถวสองคัน ที่เช้าก็วิ่งเข้าเมือง เพื่อส่งเด็กนักเรียนที่ไปเรียนในเมือง และตอนเย็นก็วิ่งกลับเข้าหมู่บ้าน คนที่นี่ นานๆ จะได้เข้าเมืองกันสักครั้ง เพราะส่วนมากไม่รู้ว่าจะไปทำไม ถ้าไม่มีเรื่องที่จะไปติดต่ออำเภอ หรือไป ธ ก ส ก็คงไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปในเมือง
หน้าที่หลัก ก็คือ เช้าก็ไปขลุกอยู่ในท้องนา ถางหญ้าที่ขึ้นรกตามคันนา ถอนหญ้า หรือเกี่ยวโสน(สะ-โน๋) ที่มันขึ้นอยู่ในนา แย่งอาหารของต้นข้าว จับปลา เก็บผัก
สุดยอด จริงๆ อาหารอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องกลัวจะมีสารเคมีเจือปน หรือปนเปื้อนมากับอาหารเพราะ ไม่ได้ฉีดหยูก ฉีดยาอะไร มันขึ้นของมันเอง อย่างตำลึง ผักบุ้ง สลกบาตร มันช่างดีจริงๆ ผู้คนก็เลยไม่เจ็บป่วยอะไรมาก เต็มที่ก็เป็นหวัด น้ำมูกไหลยืด ตอนที่อากาศเปลี่ยนแปลงนั่นแหละ
วัยรุ่น หนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ เย็นลงก็ปั่นจักรยาน ไปหาคนรัก
พอบอกว่า จักรยาน หลายคนคงคิดว่า เชยชะมัดเลย ปั่นจักรยาน ไม่เชยหรอกครับตอนนั้น ปั่นจักรยาน หรูแล้วดีกว่าเดินตั้งโข เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่มีปัญญาซื้อหรอกจักรยาน ต้องอาศัยการเดินเท้านั่นแหละ พอเสร็จจากนา ขายข้าวได้แล้ว พอมีตังเหลือก็ได้ซื้อละ จักรยาน มันแพงมาก คันหนึ่งตังสาม สี่ ร้อยบาท
ไปนั่งคุยสาวอยู่นาน สามถึงสี่ทุ่ม หรือบางทีเพลินไปหน่อย ก็ปาเข้าไปห้าทุ่ม ได้ลากลับ
มีความสุขไปวัน วัน
สบายใจ ภูมิใจ
ขี่จักรยาน หน้าบาน กลับบ้าน
เสียงน้ำไหล เสียงปลา เสียงเชียด หรือสัตว์น้ำอื่นๆ ดังเบาๆ ในคลองที่มีน้ำใสไหลเอื่อยๆ จวนจะถึงบ้านอีกไม่กี่ร้อยเมตร เป็นสามแยกเข้าซอย เขาเรียกว่าตรอก ตาผาย เพราะเป็นทางที่สามารถแยกเข้าไปบ้านตาผาย เศรษฐีประจำหมู่บ้านคนหนึ่งเหมือนกัน เพราะ เช้า เย็น จะมีควายประมาณ 40 - 50 ตัวเข้าออก ทุกวัน ที่บ้าน
พ่อบอกว่าการที่ครอบครัวไหนมีที่นามากตั้งแต่ 100 ไร่ขึ้นไป มีความ 30 ตัวขึ้นไป ก็มักจะได้รับการนับหน้าถือตาให้เป็นผู้ที่น่าเกรงขามประจำหมู่บ้านเพราะดูดีมีฐานะนั่นเอง หรือคนทั่วไปเรียกว่าเศรษฐี หรือผู้มีฐานะ ผู้มีอันจะกิน อะไรทำนองนั้นแหละ
ทิดเปี๊ยกเคยเล่าให้พ่อฟังว่า ตรงก่อนถึงตรอกตาผายที่เป็นพุ่มขี้แรด คือพืชชนิดหนึ่งที่เป็นต้นคล้ายชะอมแต่โตกว่าละมีหนามแหลมคมเหมือนคัดเค้า
เคยได้ยินเหมือนใครเอาก้อนดินขว้างลงน้ำ ดังปอ๋ม แต่มองหาดูแล้ว คิดว่าใครแกล้ง แต่ก็ไม่เห็นมีใคร สักพักก็เป็นอีก คราวนี้ขนลุกซู่เลย รีบจ้ำเดินกลับบ้าน
พ่อว่า ก็ไอ้เนตร นะซิ มันทะลึ่งเอาก้อนดินขว้างลงน้ำแล้วตะโกนว่าผีหลอกอยู่สองสามครั้ง คราวนี้ก็เลยเป็นอย่างที่ทิดเปี๊ยกโดนมานั่นแหละ อย่าว่าแต่ทิดเปี๊ยกโดนเลย ไอ้เนตรเดี๋ยวนี้มันก็โดน ตรงที่มันทำไว้นั่นแหละลูกเอัย
อย่าทำเป็นคะนองทำอะไรเล่ยเกินเลยเรื่อยเปื่อยไปนะลูกประเดี๋ยวมันจะผีซ้ำด้ามพลอย แล้วจะแก้ไขลำบากเมื่อปลายมือ
อ้าว! แล้วทำอย่างไรมันจะหายไป ไม่หลอกอย่างนั้นอีกล่ะ
พอมีคนรู้ว่าผีหลอกแล้วโวยวาย มันก็จะได้ใจ หลอกบ่อยขึ้น จากที่เคยหลอกกลางคืน มันก็จะกำเริบหลอกกลางวันด้วย แต่ถ้าทำเป็นไม่สนใจ ได้ยินก็นิ่งเฉย แล้วค่อยๆ เดินหนีไปให้พ้น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็เลิกไปเอง
เอากับเขาสิ พอไม่มีใครสนใจ ก็งอนเลิกหลอกเอาซะงั้น
เสียเชิงผีหมด
แต่ก็ดีเหมือนกันนะที่มันเลิกหลอก ไม่งั้นกลางคืนผมต้องผ่านทางนั้นซะด้วย
ได้ยินแล้วทำใจไม่ได้
เดี๋ยวก็นอนบ้านผู้สาวซะเลย ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ จะบอกให้