HR Contribution
ในสภาพการณ์ของสังคมที่ความรู้เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปตลอด และเป็นสิ่งจำเป็นของการเรียนรู้เพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับหน้าที่การงานและชีวิต ในฐานะที่ผู้เขียนทำงานในสายงานบริหารทรัพยากรบุคคล จึงขอฝากเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับการทำงานไว้ให้ได้เรียนรู้กัน ทั้งผู้เขียนและท่านผู้อ่าน ในลักษณะเรียนรู้ร่วมกัน สรรค์สร้าง HR เพื่อความเป็นมืออาชีพนะครับ....
ช่วงเวลาใกล้ปลายปีเช่นนี้ คงเป็นช่วงที่ใครหลายคนเริ่มมองเห็นเค้าของตัวเลขการปรับขึ้นเงินเดือนประจำปี และตัวเลขโบนัสลอยขึ้นมาในใจไว้แล้ว สำหรับคนที่ตั้งอกตั้งใจทำงานหนักกันมาตลอดทั้งปี ก็คาดหมายว่าช่วงเวลานี้ล่ะ องค์กรจะตอบแทนให้สมกับการทุ่มเททำงานตอบสนองเป้าหมายขององค์กรและหน่วยงาน
และช่วงนี้เหมือนกันครับ ที่ HR ร้อน ๆ หนาว ๆ ว่าคนที่ทำงานดีมีฝีมือจะถูกชักชวนไปอยู่กับองค์กรอื่นที่พร้อมเสนอค่าตอบแทน สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ดีกว่าของเราหรือเปล่า ยิ่งองค์กรที่ไม่มี แผนการรักษาคนดีคนเก่ง (Talent Retention Plan) รวมทั้งไม่มีโครงสร้างค่าจ้างเงินเดือนที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับตลาดแรงงาน และธุรกิจ เป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ยิ่งต้องหวั่นใจกันยกใหญ่ ต้องมาเตรียมคิดว่าจะคุยกับพนักงานอย่างไรดี จะ offer เท่าไร คนเก่งคนดีจึงจะอยู่ต่อและสารพัดเรื่อง แต่ก็ไม่ยักจะทำสองเรื่องที่ผมว่าไปให้ชัด อย่างนี้เรียกว่า คอยไล่ตามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หากเกิดสถานการณ์อย่างนี้จริง คงจะได้ยินแค่คำว่า ทำไม มาเสนอให้ผมตอนที่ผมไม่ได้ต้องการแล้ว.... หรือ ก่อนหน้าทำอะไรอยู่ มาทำตอนนี้ก็สายไปแล้ว.... ช้ำอกช้ำใจกันเลยนะ
เรื่องพวกนี้เชื่อมโยงกับประเด็นการบริหารค่าตอบแทนที่มีประสิทธิภาพทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ผมมุ่งหมายนำเสนอเพียงเรื่องการขึ้นเงินเดือน ก็จะไม่แฉลบไปนอกเรื่องให้เสียเวลา มาเข้าประเด็นดีกว่าครับ
ก่อนอื่น ผมขอเริ่มที่สองคำถามต่อไปนี้
- คุณคิดว่าเป็นไปได้มั้ยที่คุณทำงานหนัก มีผลงาน contribute ที่ดีให้กับองค์กร แต่เจ้านายไม่แลเห็น
- มีบ้างมั๊ยว่าทั้งที่คุณทำงานหนัก คุณอาจจะได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนต่ำกว่าคนที่ ชิวชิว ทำงานไปวันวัน
หากคุณคิดว่า ก็มี เป็นไปได้ทั้งนั้น หรือนี่กำลังจะเป็นอย่างนั้นเลยนะ ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องรวบรวมความกล้า เดินหน้าเข้าไปหาหัวหน้าหรือเจ้านายที่ใหญ่กว่า ประมาณว่า มีอำนาจในการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนประจำปี ขอให้พิจารณาการปรับขึ้นเงินเดือนประจำปีที่เป็นธรรมกับตัวคุณ
1. อย่าบอกตัวเลขที่คุณอยากได้
ในความเป็นจริงนั้น เราหรือแม้แต่หัวหน้าเองอาจจะยังไม่คาดคิดว่า ตัวเลขของการปรับขึ้นเงินเดือนประจำปีเป็นเท่าใด ด้วยเหตุนี้ คุณก็ไม่ควรที่จะบอกหัวหน้าว่าตัวเลขที่คุณต้องการหนึ่งหรือสองหลัก สิ่งที่ควรทำมากกว่าคือ ให้หัวหน้าของคุณได้ไตรตรองถึงผลงานที่คุณอุทิศหรือสร้างคุณค่าให้กับองค์กร ซึ่งผมจะขยายความในข้อต่อๆ ไป
2. ดูกาละและเทศะ
การพูดคุยเรื่องที่ sensitive แบบนี้ ต้องอาศัยการดูเวลาและสถานที่ที่สมควรครับ เพราะปัจจัยนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การเจรจาประสบผลสำเร็จ สมมติว่า หัวหน้าคุณเร่งรีบที่จะต้องเข้าประชุมหรือเพิ่งโดนตำหนิเรื่องผลงานของหน่วยงานมาเมื่อกี๊นี้ คุณโพล่งเข้าไปเจรจาแบบไม่ดูทิศทางลม ผมบอกได้คำเดียวสั้น ๆ แต่มีความหมายว่า ล้มเหลว ครับ การดูกาลเทศะหมายถึง คุณต้องมองให้ออกว่าอะไรเป็นอุปสรรคขวางอยู่ตรงหน้า ลองดูสิว่า ผลประกอบการปัจจุบันขององค์กรเป็นอย่างไร ปีหน้าจะเดินต่ออย่างไร การมองแบบหลายมุมนี้ จะช่วยให้ข้อมูลให้หัวหน้าอาจจะเห็นคล้อยตามสิ่งที่คุณคุยด้วยนะครับ
3. อย่าชเลียร์เสียจนไม่ควร
การปรับขึ้นเงินเดือนนั้น อยู่บนพื้นฐานของการแสดงให้เห็นถึงผลงานที่ดีครับ ไม่ใช่การเลียเจ้านายเพื่อให้โดนใจแล้วหวังจะได้รับรางวัลตอบแทนการทำงานที่ดี หลายคนหวังจะให้เจ้านายรักด้วยการซื้อของราคาแพงๆ มามอบให้ในวันคล้ายวันเกิดของเจ้านาย โถ! ช่างลงทุนแบบสูญเปล่าเสียนี่กระไร เพราะเจ้านายมักจะไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการมองว่าคุณ เสแสร้งแกล้งทำ หรอก ยิ่งหากข้อเท็จจริงเป็นว่า ตัวตนที่แท้ของคุณนั้น ตระหนี่ นิ่งยิ่งกว่าสิ่งใด ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดว่า คุณไร้ผลงาน และติดสินบาทคาดสินบนเสียอีกด้วย ซ้ำยังทำสิ่งที่ไม่ควรแก่การปรับขึ้นเงินเดือนที่สมน้ำสมเนื้อ อย่าทำเลยครับ ผลงานสิครับ ดียิ่งกว่าสิ่งใดใด
4. อย่าอวดอ้างเกินจริง
ผลงานที่คุณนำเสนอให้เจ้านายเห็น ควรเป็นแบบให้เห็นจริงเปรียบเทียบ actual และ expected ให้ได้ บางทีหัวหน้าอาจจะไม่ได้มองในข้อมูลผลงาน (performance record) ที่คุณเก็บรวบรวมมานำเสนอ แต่เห็นด้วยว่าเป็นผลงานที่คุณทำ แค่นี้ก็โดนใจแล้วล่ะครับ อย่าได้อวดโอ่ว่าผลงานทั้งหลายเกิดจากคุณ เพราะแท้จริงนั้น คุณทำงานคนเดียวซะที่ไหน งานของคุณมักจะสำเร็จได้ด้วยทีมทั้งภายในและภายนอกหน่วยงานที่เกื้อกูลและสอดประสานกันอย่างดี สู้นำเสนอให้เห็นว่าคุณประสานงานรอบทิศเพื่อให้ผลงานตามเป้าหมายประสบผลจะดีกว่าเป็นไหน ๆ จริงมั๊ยครับ
5. เงินเดือนหรือตำแหน่งงานปัจจุบัน ไม่ใช่ปัญหา
อย่าได้เผลอไปบอกว่า ตำแหน่งงานปัจจุบัน และเงินเดือนที่คุณได้รับตอนนี้ เป็นปัญหาที่ทำให้คุณต้องเรียกร้องเงินเดือนเพิ่ม ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดเช่นนั้น เหตุผลสนับสนุนที่ดีที่สุดคือ ผลงานและการอุทิศตน ให้กับองค์กรที่คุณควรจะต้องโชว์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ชี้ให้เห็นว่า บริษัทฯ ได้รับประโยชน์อะไรจากการทำงานของคุณ หากตีมูลค่าทางตรงได้ยิ่ง เริ่ด นะครับ
6. จงเต็มใจรับงานเพิ่ม
สำหรับองค์กรที่เจอมรสุมด้านการเงิน เจอปัญหาตัวแดงในสภาพคล่องทางการเงิน การที่บริษัทกัดฟันไม่ลดคนด้วยการเลิกจ้าง (lay off) นั้นก็ถือว่า ดีเป็นไหน ๆ แล้ว และมันก็ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่องค์กรตัดสินใจทำเช่นนั้น จึงเป็นไปได้ที่องค์กรอาจจะไม่รับคนทดแทนคนที่ลาออก โดยเพิ่มงานให้คุณทำแทน เพราะคุณอาจทำงานได้ดี ทำงานได้หลายอย่าง หรือการมีคุณหนึ่งคนอาจแทนคนได้อีกสองถึงสามคนก็เป็นได้ และก็ควรอย่างยิ่งที่คุณต้องหยิบยื่นความร่วมมือให้กับองค์กรด้วยเช่นกัน เมื่อถึงเวลาพิจารณาความดีความชอบ เชื่อผมเถอะครับว่า จะไม่มีใครที่ไม่อยากจะเพิ่มอะไรให้คุณเป็นพิเศษ เพราะไม่เช่นนั้นก็จะคาใจในความไม่เป็นธรรมครับ
7. อย่าบังคับหัวหน้าให้ต้องยอมตาม
ในความเป็นจริงนั้น คุณทำได้แค่เจรจาเพื่อขอให้หัวหน้างานหรือเจ้านายเห็นความจำเป็นในการปรับค่าตอบแทนที่เหมาะสมตามผลงานที่คุณทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนดให้ เมื่อเป็นอย่างนี้ คุณต้องเจรจาด้วยการให้เกียรติและเคารพนับถือ แสดงถึงเหตุและผล พร้อมหลักฐานอ้างอิงที่ชัดเจน ตรงประเด็นก็เพียงพอ ไม่ต้องบีบคั้นหรือขู่ว่าจะลาออก เพราะการขู่แบบนี้ คุณจะทำได้เพยงครั้งเดียว และทำได้เพียงในสถานการณ์ที่องค์กรยังไม่พร้อมที่จะเสียคุณไปเท่านั้น ผู้รู้หลายท่านชี้ให้เห็นว่า การต่อรองจำเป็นต้องกระทำแบบ ผู้ใหญ่คุยกัน หรือ มีวุฒิภาวะ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าผลของการขอขึ้นเงินเดือนจะออกมาแบบบวกหรือลบกับตัวคุณ จงมั่นใจตัวเอง เพราะหากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามที่คุณอยากจะได้ ก็ด้วยคุณไม่มีอำนาจที่จะกำหนดเอง แล้วจะกังวลไปทำไม สู้ตั้งหน้าตั้งตาทำงานแลกกับวันข้างหน้าไม่ดีกว่าหรือครับ
การคุกคามหัวหน้างานให้ต้องยอมตาม มักเห็นได้ในรูปแบบที่พยายามกดดันให้หัวหน้าต้องตอบ yes และ when บางคนหนักถึงขนาดอยากรู้ตัวเลขที่จะได้ เรียกว่า เรียกร้องกันเป็นฉากๆ เลยทีเดียว ในฐานะหัวหน้างานคนนึง หากมีลูกน้องถามแบบนี้ ผมดีใจนะ และผมจะตอบด้วยสัตย์จริงว่า ผมยังไม่แน่ใจว่าให้ได้ตามต้องการหรือไม่และเมื่อใด พร้อมอธิบายเหตุผลทั้งหลายให้ได้เข้าใจ สิ่งที่ผมอยากแนะนำให้คุณคุยในสถานการณ์แบบนี้คือ การคุยแบบ ฝากให้พิจารณา เท่านั้น ให้หัวหน้าได้ทดตัวเลขไว้ในใจ หรือหากเจ้านายของคุณบอกว่า คุณผลงานดีมาก ผมจะตอบแทนให้เป็นอย่างดี เช่นนี้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะครับ
สิ่งที่คุณควรทำคือหมั่นเก็บผลงานที่ทำในช่วงเวลาประเมินผลงาน ผลงานอะไรที่หัวหน้าประทับใจ เช่น อยู่ในทีมพัฒนาระบบงานใหม่ ๆ ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้รัดกุมมากขึ้น ช่วยลดหรือประหยัดค่าใช้จ่าย ทำงานได้มากกว่าเป้าหมาย เอามาโชว์มาแชร์ได้ผลกว่าเยอะ
ในส่วนตัวผมมองว่า หัวหน้าของเราก็มนุษย์เงินเดือน ที่อยากได้อะไรการขึ้นเงินเดือนที่ดีเหมือนกับเรา ผลงานเราดี ผลงานเค้าก็เยี่ยม พูดง่ายๆ หากคุณจะได้รับค่าตอบแทนที่ดีขึ้น เค้าก็สมควรที่จะได้เพราะผลงานของคุณเช่นกัน การแลกเปลี่ยนจึงมักเป็นจะเป็นไปบนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่เหมาะสมเสมอ และนี่เองก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผมบอกไปแล้วว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ให้มากไป
สุดท้ายที่ผมอยากเตือนก็คือ เมื่อคุณจะต้องต่อรองเรื่องการขอขึ้นเงินเดือน คุณต้องไม่ใฝ่ฝันสวยหรูถึงตัวเลขที่คุณจะได้รับ อย่าหวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นทั้งหมด อย่าเชื่อมั่นตัวเองสุดโต่งว่าคุณจะต้องได้เงินเดือนขึ้นตามที่อยากได้ เพราะตัวแปรที่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมีได้เสมอ เช่น ฐานะทางการเงินย่ำแย่ลงในช่วงข้ามคืน หรือเจ้านายมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ซึ่งล้วนแต่เกินกว่าที่คุณอาจจะคาดคิดไว้ เวลาที่คุณต่อรองการขึ้นเงินเดือนที่ว่าไปนี้ จึงขอให้เผื่อใจไว้ให้มาก ๆ เพราะหากผิดหวังก็ยังทำงานต่อ มุ่งหน้าทำงานอย่างมุมานะต่อไป คิดเสียว่า การมาครั้งนี้ คือการนำเสนอผลงานเพื่อให้หัวหน้าเห็นผลงานที่ตอบสนองต่อเป้าหมายของหน่วยงานและเป้าหมายขององค์กรมากกว่า ผลผลิตของงานดีขึ้น แต่อย่าลืมว่าทุกประเด็นที่คุณยกมาเป็นตัวอย่างในการขอขึ้นเงินเดือน ทำให้งานงอกเงยขึ้นและมีส่วนช่วยผลักดันให้บริษัทโตขึ้นจริงๆ
ทักษะและประสบการณ์ที่คุณได้จากการทำงานหนัก คือพยานหลักฐานชั้นเลิศของการได้รับเงินเดือนมากขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งไม่จำเป็นที่คุณจะต้องรอรับจากองค์กรนี้เท่านั้น ปีหน้าฟ้าใหม่ หากองค์กรใดมีโอกาสให้มากกว่า จะไปเติบโตด้วยเหตุที่ท้าทายมากขึ้นก็ไม่มีประเด็นใดให้ติดใจ
จริงมั๊ยครับ
ชัชวาล อรวงศ์ศุภทัต
Professional Human Resources-PHR
ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล
บจก.กรุงไทยธุรกิจบริการ
E-Mail : [email protected]
Blog : http://chatchawal-ora.blogspot.com/