ต่อเนื่องจากคราวที่แล้ว
หลังจากออกมาจากวัดภูมินทร์กันแล้ว พวกเราเดินต่อมายัง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ซึ่งแต่เดิมเป็นหอคำ หรือคุ้มของอดีตเจ้าผู้ครองนครน่านสร้างขึ้นเเมื่อปีพ.ศ. 2446 และต่อมาในปี 2517 กรมศิลป์ได้ขอใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเราคิดว่าใครก็ตามที่มาเที่ยวที่นี่ไม่ควรพลาดที่จะแวะมา เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวบรวมโบราณวัตถุที่สำคัญ ตลอดจนสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศิลปะ โบราณคดีและชาติพันธ์วิทยา ซึ่งจากการได้ชมห้องแสดงต่าง ๆ ทำให้ได้ทราบว่าเมืองน่านเป็นที่รวมของชนเผ่าต่าง ๆ นอกจากชาวพื้นราบหรือคนเมืองแล้วยังมี ชาวไทลื้อ ม้ง เย้าหรือเมี้ยน ถิ่นหรือขมุ รวมทั้งผีตองเหลือง ซึ่งแต่ละเผ่าพันธ์ก็จะมีวัฒนธรรมของตนเอง เช่น ลักษณะอาคารบ้านเรือน เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน การทอผ้าแบบต่าง ๆ เห็นอย่างนี้แล้วชักอยากออกไปสัมผัสกับบรรยากาศนอกตัวเมืองซะแล้วสิ
โชคดีที่เรามาถึงกันตั้งแต่วันศุกร์ และได้ติดต่อสถานที่ราชการต่าง ๆ เพื่อขอข้อมูลเรื่องกลุ่มทอผ้าเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็เหลือแต่การลงไปดูพื้นที่จริง
.....ก็ขอภาวนาให้ฟ้าฝนเป็นใจ ไม่ตกมาช่วงนี้ละกัน....
คำภาวนาไม่เป็นผลซะแล้ว เพราะฝนตกตั้งแต่เมื่อคืนไม่ยอมหยุด อากาศหนาวมากจนเกิดศึกแย่งชิงผ้าห่มกับคุณน้องโดยไม่รู้ตัว กว่าจะได้ออกไปทำงานก็ปาเข้าไปเกือบ 11 โมง เราขึ้นรถโดยสารท้องถิ่นสายน่าน-เวียงสา มุ่งสู่ อ.เวียงสา เพื่อต่อรถไปที่บ้านไผ่งาม ต.ส้าน ตามหากลุ่มสตรีทอผ้า ขณะที่กำลังช่วยกันสอดส่ายสายตามองดูป้ายบอกทาง และกระเป๋ารถเมล์ค่อย ๆ เยื้องกายเก็บเงินผู้โดยสารอื่นอยู่นั้น เสียงตะโกนบอกว่า " ถึงแล้ว ๆ" ก็ดังขึ้น กระเป๋ารถเมล์ก็มาถึงและรีบดึงเงินจากมือเราไปทันที
|