ค้นบ่อย
:
หางานบัญชี,
หางานธุรการ,
หางานจัดซื้อ,
หางานผู้จัดการ,
หางานขับรถ,
หางานบุคคล,
หางานคลังสินค้า,
หางานครู,
หางานวิศวกร,
หางานเขียนแบบ,
หางานคีย์ข้อมูล,
หางานการตลาด,
หางานโรงแรม,
หางานสิ่งแวดล้อม,
หางานคอมพิวเตอร์,
หางาน Programmer,
หางานประชาสัมพันธ์,
หางานช่าง,
หางานสถาปนิก |
เรื่อง
วัว
เขียนโดย เสกสรร อามตย์มนตรี
|
Rated:
by 19 users |
|
|
|
|
> โคเนื้อกำแพงแสน เลี้ยงง่าย โตเร็ว ตลาดไม่ตัน เนื่องจากประกอบธุรกิจลานมันเป็นอาชีพหลัก จึงมีความคิดว่ามันสำปะหลังที่มีอยู่น่าจะนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และโดยปกติเราใช้เป็นอาหารสัตว์อยู่แล้ว หากเลี้ยงโคขุนเป็นอาชีพเสริมโดยใช้วัตถุดิบที่มีอย ก็น่าจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมันสำปะหลังและยังเป็นการลดต้นทุนการผลิตได้อีกทางหนึ่งด้วย นั่นคือคำพูดของ คุณสุกิจ วรรณปิยรัตน์ เจ้าของฟาร์มโคเนื้อ วัฒนกิจฟาร์ม ซึ่งเป็นฟาร์มโคขุนที่มากด้วย ประสบการณ์เลี้ยงโคกว่า 20 ปี เป็นฟาร์มที่เลี้ยงโคเนื้อกำแพงแสนเป็นสายพันธุ์หลัก เนื่องจากเป็นโคเนื้อที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยการนำโคลูกผสมพันธุ์พื้นเมืองของไทยผสมกับโคเนื้อสายพันธุ์อเมริกันบราห์มัน เลือด 50:50 แล้วนำมาผสมกับโคเนื้อสายพันธุ์ชาโรเลห์ กลายเป็นโคลูกผสมสามสายเลือด ทีมงานสัตว์เศรษฐกิจ ได้มีโอกาสเดินทางไปที่จังหวัดชัยนาท เพื่อเข้าเยี่ยมชมฟาร์มโคเนื้อของ คุณสุกิจ วรรณปิยรัตน์ ตั้งอยู่ เลขที่ 78 หมู่ 5 ตำบลสุกเดือนห้า กิ่งอำเภอเนินขาม จังหวัดชัยนาท โทรศัพท์ 01-8581944 โดยมีคุณสุกิจคอยให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ก้าวแรกของการเข้าสัมผัสบริเวณภายในฟาร์ม สังเกตเห็นพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นลานมัน เนื่องจากคุณสุ-กิจรับซื้อมันสำปะหลังเป็นอาชีพหลัก แต่ด้วยความที่มีพื้นที่กว้างขวาง จึงแบ่งโซนไว้เพื่อทำฟาร์มเลี้ยงโคอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กัน ประมาณ 200 ไร่ จัดทำเป็นโรงเรือนสำหรับเลี้ยงโค และโรงอาหารสำหรับใช้ในการเก็บอาหารและผสมอาหาร โดยโรงเรือนเลี้ยงโคสร้างด้วยเสาเหล็กและมุงหลังคาด้วยกระเบื้องอย่างแข็งแรง ขนาดความยาวประมาณ 60 เมตร กว้าง ประมาณ 10 เมตร แบ่งคอกย่อยเป็นล็อกๆ กว้าง ประมาณ 4 เมตร ยาว 10 เมตร ทำการปล่อยโคลงเป็นรุ่นๆ ตามขนาดและอายุของโค มีทั้งหมด 4 โรงเรือน แบ่งเป็นโรงเรือนโคแม่พันธุ์-พ่อพันธุ์ โรงเรือนโครุ่นหลังหย่านม และโรงเรือนโคขุน ส่วนโรงอาหารสร้างอยู่ในบริเวณใกล้กันโดยสร้างด้วยเสาไม้และมุงหลังคาสังกะสี กั้นเป็นช่องด้วยกำแพงคอนกรีต ขนาดความกว้างประมาณ 3 เมตร ยาว 5 เมตรจำนวน 5 ช่อง แบ่งไว้สำหรับใช้เก็บวัตถุดิบอาหารสัตว์ และอาหารที่ผสมเรียบร้อยแล้ว เพื่อเตรียมไปใช้สำหรับเลี้ยงโค คุณสุกิจเล่าให้ฟังว่าเคยทำไร่อ้อยมาก่อน จากนั้นได้เปลี่ยนมาประกอบธุรกิจลานมัน รับซื้อมันสำปะหลังจากเกษตรกร และจุดนี้เองที่เห็นว่ามันที่รับซื้อมามีจำนวนมาก น่านำมาเพิ่มมูลค่าได้ โดยเห็นว่าปกติเราใช้มันสำปะหลังมาแปรรูปเป็นอาหารเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว หากนำมาเลี้ยงโคเนื้อก็น่าจะเกิด้ประโยชน์ อีกทั้งยังมองว่าการเลี้ยงโคเนื้อน่าจะเป็นอาชีพที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากรายได้ปัจจุบัน ส่วนสาเหตุที่เลือกเลี้ยงโคเนื้อเนื่องจากมองว่าการเลี้ยงโคเนื้อมีค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงเรือนและการจัดการน้อยกว่าการเลี้ยงไก่ และสุกร การป้องกันโรคและการดูแลก็ไม่ยุ่งยากนัก แต่หากเลี้ยงโคเนื้อยังพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง และจะสามารถใช้วัตถุดิบที่มีอยู่เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงโคได้อีกด้วย ในระยะแรกได้ซื้อโคเนื้อพันธุ์พื้นเมืองและพันธุ์ลูกผสมบราห์มันจากเกษตรกรและตามตลาดนัดโค-กระบือ ในเขตจังหวัดชัยนาทมาเลี้ยง ประมาณ 30 กว่าตัว อายุโดยเฉลี่ยประมาณ 4 ปี คละเพศ มีทั้งโครุ่น และโคแม่พันธุ์ โดยคัดเลือกตัวที่มีความสมบูรณ์เหมาะกับความเป็นโคเนื้อมาเลี้ยง ซึ่งจะดูจากความสมบูรณ์ของกล้ามเนื้อขา เพราะมองว่าโคที่มีกล้ามเนื้อขาใหญ่ จะเป็นโคที่โตเร็ว และเน้นไปที่ลูกผสมชาโรเลห์ หรือลูกผสมบราห์มัน ไม่เน้นโคที่มีสายเลือดพื้นเมืองมากเกินไปเพราะโตช้า คุณสุกิจเล่าต่อว่า หลังจากเลี้ยงโคเนื้อที่ซื้อมาชุดแรกได้ระยะหนึ่ง โคตัวเมียบางตัวก็เริ่มที่จะผสมพันธุ์ได้ ทางฟาร์มจึงได้ทำการขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนโค โดยการนำน้ำเชื้อของโคสายพันธุ์ชาโรเลห์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน มาทำการผสมเทียม ซึ่งหลังจากที่ผสมเทียมแล้วได้ลูกโคสามสายเลือด ซึ่งประกอบด้วยชาโลเลห์ 50% พื้นเมือง 25% และบราห์มัน 25% มีลักษณะคล้ายกับโคพันธุ์ชาโรเลห์ ลำตัวสีเหลืองครีม มีความสมบูรณ์พันธุ์ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบอัตราการขุนกับลูกผสมบราห์มันพบว่ามีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีกว่า เร็วกว่า และกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด จึงได้ขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนเรื่อยมา จนปัจจุบันในฟาร์มมีโคทั้งหมดประมาณ 200 กว่าตัว เป็นแม่พันธุ์ประมาณ 100 ตัว เป็นพ่อพันธุ์ 3 ตัว พันธุ์กำแพง แสนทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะเป็นโครุ่นและโคขุน โดยมีประสบการณ์ในการเลี้ยงประมาณ 20 กว่าปี จุดเด่นของโคกำแพงแสนคือเป็นโคที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็ว มีอัตราการแลกเนื้อดีกว่าโคลูกผสมบราห์มัน ทำให้สามารถผลิตส่งตลาดได้เร็วกว่า และเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่าอีกด้วย ตลอดเวลาช่วงการขุนโคกำแพงแสนจะไม่มีการหยุดชะงักการเจริญเติบโต สามารถเลี้ยงตั้งแต่เป็นลูกโคจนถึงจับขายได้เลย แต่หากเป็นโคลูกผสมบราห์มันจะมีจุดชะงักการเจริญเติบโต เช่นในช่วงน้ำหนักประมาณ 300 กว่ากิโลกรัม การเจริญเติบโตจะหยุดชะงัก ตัวจะอ้วนกลมขึ้น แต่โคพันธุ์กำแพงแสนการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อสามารถ ไปได้เรื่อยๆ จนถึง 550-600 กิโลกรัม คุณสุกิจกล่าวยืนยัน คุณสุกิจเล่าต่อว่าทางฟาร์มจะคัดเลือกลูกโคที่เป็นผลผลิตจากฟาร์มที่มีลักษณะดีไว้ เพื่อใช้เป็นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ มีเกณฑ์ในการคัดเลือกโดยดูจากลักษณะของโครงสร้างกล้ามเนื้อ และอัตราการเจริญเติบโตเป็นหลัก ขาและลำแข้งต้องตรงและโตเหมาะสมกับลำตัว ขาไม่เตี้ยสั้นผิดปกติ ลำ-ตัวยาว โคตัวผู้ที่จะใช้เป็นพ่อพันธุ์ต้องมีอัณฑะที่สมบูรณ์ทั้ง 2 ข้าง ใหญ่โตเสมอกัน ลึงค์ต้องไม่หย่อนยานจนเกินไป ซึ่งโดยปกติโคเนื้อที่มีลักษณะโครงสร้างของกล้ามเนื้อดีก็จะทำให้มีอัตราการเจริญที่ดีด้วย ทางฟาร์มจะเริ่มผสมพันธุ์แม่โคที่อายุ 2 ปี โดยจะใช้โคตัวผู้ปล่อยในฝูงช่วยในการเช็คสัด ซึ่งการปล่อยให้โคตัวผู้อยู่รวมในฝูงโคตัวเมียจะทำให้เราสามารถทราบว่าโคตัวไหนเป็นสัดได้ค่อนข้างจะแม่นยำอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากการแสดงอาการเป็นสัดของโคตัวเมีย ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าโคตัวนั้นพร้อมและยินยอมที่จะรับการผสมพันธุ์ ปกติการแสดงอาการเป็นสัดของโคจะอยู่ในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 24 ชั่วโมง และหากโคเป็นสัดแล้วไม่ได้รับการผสม ก็จะกลับมาแสดงอาการเป็นสัดอีกภายใน 21 วันโดยเฉลี่ย ซึ่งเมื่อเราได้โคแม่พันธุ์ที่พร้อมที่จะผสมพันธุ์แล้ว เราจะนำแม่พันธุ์มาแยกเลี้ยงจากตัวอื่นเพื่อเตรียมรับการผสม โดยทางฟาร์มจะใช้วิธีการผสมพันธุ์แบบผสมจริง คือการให้โคพ่อพันธุ์ที่มีลักษณะดีตามเกณฑ์ที่มีอยู่ในฟาร์มขึ้นทับโคตัวเมียที่แสดงอาการเป็นสัด และส่วนหนึ่งจะใช้วิธีผสมเทียมสลับกัน เพื่อไม่ให้พ่อพันธุ์เสื่อมประสิทธิภาพเร็วเกินไป โดยน้ำเชื้อที่ทางฟาร์มนำมาใช้จะได้มาจากกรมปศุสัตว์และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน หลังจากโคได้รับการผสมแล้วจะใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 283 วัน เมื่อลูกโคคลอดออกมาแล้วเราจะให้ลูกโคได้รับนมน้ำเหลืองจากแม่ ซึ่งปกติลูกโคควรจะได้รับนมน้ำเหลืองจากแม่อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วง 24 ชั่วโมงแรกเกิด เพื่อที่จะได้รับภูมิ- คุ้มกันจากแม่ที่ถ่ายทอดให้กับลูกได้ และเมื่อลูกโคมีอายุครบ 5 เดือนจึงจะเริ่มหย่านม และจะเริ่มทำวัคซีนเข็มแรก ซึ่งในการทำวัคซีนนั้น จะต้องทำให้เหมาะสมกับช่วงอายุของสัตว์ และทำตามกำหนดเวลาเป็นประจำ เพื่อให้สัตว์มีระดับภูมิคุ้มกันในระดับที่สูงอยู่เสมอ ซึ่งสัตว์จะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ในการสร้างภูมิคุ้มกันหลังจากได้รับวัคซีน ทั้งนี้ การสร้างภูมิคุ้มกันให้ได้ผลดีนั้น สัตว์จะต้องมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ และได้รับอาหารที่มีคุณภาพ ซึ่งการทำวัคซีนจะต้องทำซ้ำทุกๆ 3 เดือนเพื่อเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยวัคซีนที่ทำจะเป็นวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อยเพียงอย่างเดียง โดยดำเนินการไปพร้อมกับการถ่ายพยาธิ สำหรับอาหารที่ให้ก็จะเป็นอาหารข้น และให้อาหารหยาบผสมเพิ่มลงไป โดยมีอัตราส่วนในการให้ประมาณ 2-3% ของน้ำหนักตัว ซึ่งจะแบ่งให้เป็น 3 เวลา อาหารที่ใช้สำหรับเลี้ยงโคในฟาร์มจะเป็นอาหารที่ผสมเองทั้งหมด ทางฟาร์มจะใช้วัตถุดิบจากมันสำปะหลังที่มีอยู่ในลานมันมาผสมกับแหล่งโปรตีนที่ได้จาก กากงา กากนุ่น ส่วนแร่ธาตุเราจะผสมไดแคลเซี่ยมลงไป 10% พร้อมกับพรีมิกซ์ หากเป็นอาหารโครุ่นจะเสริมกากงาเพิ่มลงไปเพื่อเพิ่มโปรตีนทำให้โคมีการเจริญเติบโตเร็วขึ้น ทั้งนี้ทางฟาร์มจะให้อาหารหยาบเช่น ฟางข้าว หญ้าหมักเสริมไปด้วย และเมื่อโคมีน้ำหนัก ประมาณ 300 กิโลกรัมขึ้นไป จะเริ่มขุนโคโดยให้อาหารเต็มที่อีกประมาณ 10 เดือน ซึ่งโดยเฉลี่ยโคจะต้องมีน้ำหนักเพิ่มเดือนละประมาณ 25 กิโลกรัม และเมื่อโคขุนได้น้ำหนักประมาณ 550 กิโลกรัม หรือที่อายุประมาณ 20 เดือน ก็จะคัดขาย โดยส่วนใหญ่จะคัดขายเฉพาะโคตัวผู้ ส่วนโคตัวเมียจะคัดเลือกตัวที่มีลักษณะและมีอัตราการเจริญเติบโตดีไว้เป็นแม่พันธุ์ต่อไป ในส่วนของโคแม่ พันธุ์ทางฟาร์มจะเลี้ยงแบบธรรมชาติ คือปล่อยแปลงหญ้าเพื่อให้โคได้แทะเล็มหญ้าอาหารสัตว์ที่ปลูกไว้อย่างเต็มที่ โดยทางฟาร์มจะปลูกถั่วฮามาต้า และหญ้าซาตากัสไว้ในแปลง เนื่องจากทั้งสองชนิดนี้มีความทนทานต่อการเหยียบย่ำของโค และจะเสริมอาหารข้นให้เฉพาะในฤดูแล้งเท่านั้น สำหรับโคอุ้มท้องหรือโคเลี้ยงลูกก็จะให้เช่นเดียวกัน ในส่วนของโคขุนและโครุ่นจะเลี้ยงแบบยืนโรงให้อาหารในรางอาหารที่เตรียมไว้ ซึ่งบางครั้งมักจะมีปัญหาเรื่องข้อขา และกีบเท้าบ้าง จึงจำเป็นต้องให้อาหารแก่โคอย่างเพียงพอเพื่อที่จะไปเสริมสร้างในส่วนของกล้ามเนื้อข้อขา สำหรับราคาที่ขายกันอยู่ในปัจจุบันกิโลกรัมละ 108 บาท ทางฟาร์มจะขายที่สหกรณ์โคเนื้อของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นหลัก จะมีขายให้กับพ่อค้ารายย่อยบ้างในบางครั้ง ซึ่งต้นทุนการผลิตในแต่ละตัวจะไม่เท่ากันเนื่องจากโคมีขนาดต่างกัน บางตัวเล็ก บางตัวใหญ่ ทำให้โคแต่ละตัวกินอาหารไม่เท่ากัน แนวโน้มการตลาดโคเนื้อในอนาคตก็ยังคงไปได้ดี เนื่องจากยังมีผู้ที่บริโภคเนื้อโคกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันก็มีไม่เพียงพออยู่แล้ว และเกษตรกรยังคงต้องการเลี้ยงโคขุนกันเยอะ ซึ่งโคขุนที่มีสายพันธุ์ชาโลเลห์ หรือพันธุ์กำแพงแสนก็ยังเป็นที่สนใจของเกษตรกร แต่ในบางครั้งก็มีปัญหาบ้าง เนื่องจากโคที่เลี้ยงโตไม่เท่ากัน หรือบางครั้งก็มีปัญหาโคล้นตลาดบ้าง ซึ่งมักเป็นไปตามวงรอบและกลไกของตลาด และปัญหาอีกประการหนึ่งคือ ธุรกิจการเลี้ยงโคเนื้อยังจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับระบบของรัฐ เช่น กรณีการเคลื่อนย้ายโคมีขั้นตอนมากมาย เพื่อป้องกันปัญหาโรคระบาด และการควบคุมไม่ให้มีการแพร่ระบาดของโรคที่อาจแฝงตัวมาจากโคที่กำลังเคลื่อนย้าย ทำให้เกิดการล่าช้าในการขนส่งให้แก่ลูกค้า และในส่วนของเรื่องตลาดนัดค้าโค กระบือ ควรจะจัดให้เป็นระบบมากขึ้นเพราะหากไม่เป็นระบบอาจมีการแพร่ระบาดของโรคได้ง่าย คุณสุกิจกล่าว สุดท้ายคุณสุกิจ ได้ฝากถึงผู้ที่เลี้ยงโคเนื้อและผู้ที่คิดจะเริ่มเลี้ยงโคเนื้อ ว่า ผู้ที่จะเลี้ยงโคเนื้อในระยะแรกควรศึกษาในเรื่องการลงทุนให้ดี และควรเริ่มจากเงินลงทุนที่ต่ำๆ ก่อน อย่าเพิ่งเริ่มใช้เงินลงทุนที่สูง และอย่าไปมองแต่แม่พันธุ์ที่มีราคาสูง ควรจะต้องมองว่าโคเนื้อคืออะไร และเมื่อเลี้ยงไปแล้วต้องการขายอะไร ทั้งนี้ โคเนื้อกำแพงแสนถือว่ามีอัตราการเจริญเติบโตเร็ว แต่ยังไม่ชัดเจนในเรื่องการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์คุณภาพดี เพื่อมาใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าจะไปเลือกที่ตรงไหน เพราะทุกคนบอกว่าพ่อแม่พันธุ์ที่ดีต้องมีลักษณะอ้วนๆ แต่ไม่ได้มีการทดสอบว่ามีประสิทธิภาพ ดีแค่ไหน เพราะหากเราคัดเลือกพ่อพันธุ์เอง บางตัวใช้งานได้ 10 ครั้ง บางตัวได้ 2 ครั้ง ไม่มีความแน่นอนเนื่องจากไม่ได้มีการทดสอบสายพันธุ์ แต่หากมีการทดสอบว่าตัวไหนมี ประสิทธิภาพที่ดี มีอัตราการเจริญเติบโตดี มีประสิทธิภาพของน้ำเชื้อดี เราก็สามารถไปซื้อมาใช้ได้เลยโดยไม่ต้องมาทดสอบเอง ทั้งนี้ผู้ที่จะเลี้ยงโคเนื้อจะต้องมีใจรักการเลี้ยงสัตว์ มีความขยัน อดทน ไม่ท้อแท้เมื่อเกิดปัญหา หมั่นแสวงหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอเพื่อที่จะนำมาปรับใช้ในฟาร์ม และที่สำคัญต้องมีเวลาดูแลและคลุกคลีกับโคในฟาร์มอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้ทราบถึงปัญหา และหาทางแก้ไขได้ถูกต้องและทันท่วงที จาก ทีมงานสัตว์เศรษฐกิจ
|
|
|
|
ความคิดเห็นของคุณกับบทความนี้
...
|
|
|
Knowledge Center |
|
|
knowledge
|
|
|
|
|
|
|
|
|