ค.ศ. ๒๐๐๐ นับถอยหลังบริษัทเล็ก
ต้องอ่านตัวเองให้ออกเสียแต่เดี๋ยวนี้
หากติดตามข่าวสารกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีงานสัมมนาที่น่าสนใจในหัวข้อ MANAGEMENT 2000 จากมุมมองของ 10 นักธุรกิจชั้นนำ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ , เครือเจริญโภคภัณฑ์ , ชินวัตร , ไทยพาณิชย์ , ดุสิตธานี , สหยูเนี่ยน , การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย , เนชั่น , การบินไทย และสหวิริยา ได้รับยกย่องจากนิตยสาร อีโคโนมิก รีวิว
แต่ละบริษัทแม้ว่าจะมีนโยบายแตกต่างกันออกไป ยุทธศาสตร์ แลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างกันตามประเภทของธุรกิจ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้บริหารทั้งสิบให้ความหมายที่ตรงกัน คือ การบอกกล่าวถึงความจำเป็นต้องหรับตัวเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้มีความสามารถที่จะดำเนินธุรกิจอันสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม และสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นใน ค.ศ. 2000 ที่จะถึงนี้
ผมเชื่อว่ารายละเอียดต่าง ๆ ที่ผู้บริหารทั้งหลายได้แสดงทรรศนะความคิดเห็นนี้ ย่อมสร้างแรงกระตุ้น สร้างความตื่นตัวให้บริษัททั้งขนาดกลางและขนาดย่อมได้เร่งตระหนักถึงผลกระทบที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งทุกอย่างจะหมุนเร็วและมีแรงกระแทกอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะผู้ที่ปรับตัว ปรับกระบวนการไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
การปรับตัวของธุรกิจขนาดย่อมนั้นคงมีหลากหลายวิธีการ เพื่อให้สถานภาพดำรงอยู่ได้ แม้ว่าตนเองจะมีข้อจำกัดในหลาย ๆ ด้าน อาทิ
การเข้าระบบแฟรนไชส์ ด้วยการซื้อสิทธิชื่อยี่ห้อ และระบบต่าง ๆ ของบริษัทที่มีชื่อเสีย เช่น เซเว่น อีเลฟเว่น หรือของ ค่ายสหวิริยา ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโทรคมนาคม เป็นต้น เพื่ออาศัยความแข็งแกร่งทั้งด้านชื่อเสียงการบริหาร ตลอดจนการตลาดที่ครบวงจรช่วยลดความเสี่ยงเมื่อเทียบกับการลงทุนเอง
การลงทุนเองแล้วแตกสาขา อย่างเช่น ร้านหนังสือ ดอกหญ้า หรือห้างทอง ทวีชัย 5 แต่นั่นหมายถึงจะต้องมีเงินทุนสูง มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน จึงจะประสบความสำเร็จได้
การยอมถูกกลืนหรือการผนึกกำลัง ด้วยการยอมให้บริษัทใหญ่กว่าเข้ามาบริหารเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของธุรกิจ
การร่วมมือกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่ออาศัยการช่วยเหลือและสนับสนุนกัน เช่น บริษัทเอเยนซี่จับมือกับบริษัทประชาสัมพันธ์ , บริษัทโปรดักชั่น หรือบริษัทโปรโมชั่น เพื่อให้ครบวงจรในการให้บริการเทียบเท่าบริษัทใหญ่โดยไม่ต้องลงทุนด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรลืมตั้งคำถามกับตัวเอง ต้องอ่านตัวเองให้ออกเสียแต่เดี๋ยวนี้ว่า ธุรกิจที่ทำอยู่มีโอกาสในอนาคตมากน้อยแค่ไหน ?
ลองนึกเปรียบเทียบดูว่าโอกาสธุรกิจจะยังยาวไกลหรือไม่ ? แค่ไหน ? มีความจำเป็นต้องปรับตัว ปรับองค์กรทั้งเบื้องต้น หรือจะต้องรองรับอย่างไรบ้าง ? เพื่อก้าวไปสู่ความพร้อมที่จะแข่งขันในทุกสถานการณ์ เป็นต้น
การรู้จักตัวเองเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก ความเข้าใจที่ดีที่ถูกต้องจะทำให้การตัดสินใจในการปรับตัวทางใดทางหนึ่งลดความผิดพลาดได้เป็นอย่างดี
สำหรับข้อบกพร่องของธุรกิจขนาดย่อมที่อาจนำไปสู่ความล้มเหลว ส่วนใหญ่มาจากการขาดการบริหารที่ดี ซึ่งผลจากการสำรวจและวิจัยทางสถิติด้วยการวิเคราะห์ บ่งบอกถึงสาเหตุที่มาอันได้แก่ ความประมาท , ถูกโกง , ขาดประสบการณ์ และไร้ความสามารถ โดยแบ่งเป็น ขายไม่ดี , รายจ่ายดำเนินการมากเกินไป , พบอุปสรรคต่าง ๆ , การผลิตมีความยุ่งยาก , หลักทรัพย์ในงบดุลมีจำกัด , สถานที่ตั้งไม่ดี , การแข่งขันมีจุดอ่อน ฯลฯ นอกจากนั้นอาจประสบภัยพิบัติ
ส่วนที่ว่า บริษัทหรือธุรกิจขนาดย่อมจะต้องอาศัยกลไกอะไรบ้าง เพื่อเป็นกุญแจไขไปสู่ความสำเร็จ คงสรุปองค์ประกอบต่าง ๆ ได้ว่า
ประการแรก ต้องมีเงินทุนสมบูรณ์
ประการที่สอง การบันทึกที่ดี โดยทำบัญชีต่าง ๆ ไว้ถูกต้องมีการจัดเก็บข้อมูลถูกต้อง แสดงฐานะการเงินให้รู้ได้ดี และต้องสามารถวิเคราะห์ถึงผลการดำเนินธุรกิจให้เห็นได้อย่างชัดเจน
ประการที่สาม บริหารบุคคลมีประสิทธิภาพ ธุรกิจขนาดย่อมมักประสบปัญหาด้านบุลากร มีบุคลากรจำกัด ความสามารถไม่เทียบเท่าบริษัทขนาดใหญ่ จึงมีความ จำเป็นต้องบริหารบุคคลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง
ประการที่สี่ ผลตอบแทนให้แก่พนักงาน แน่นอนว่า บริษัทขนาดย่อมไม่สามารถจ่ายค่าจ้าง และผลประโยชน์พิเศษต่าง ๆ ได้เท่าบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้น ต้องวางแผนในเรื่องนี้
ประการที่ห้า การจูงใจพนักงาน เนื่องจากบริษัทขนาดย่อมเจ้าของกิจการสามารถสร้างความสัมพันธับพนักงานเป็นส่วนตัวได้ทั่วถึงทุกคน เป็นการง่ายที่จะขอให้ช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหา หากเปิดโอกาสให้พนักงานมาเกี่ยวข้องกับการปรับแต่งงานให้มีส่วนร่วมบางกรณี จะสร้างความรู้สึกที่ดีและแรงจูงใจที่ดี
ประการสุดท้าย กิจกรรมอื่น ๆ ไม่ควรละเลยความสำคัญในกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การตลาด ตลอดจนการบริหรการเงิน การจัดทำข้อมูล ข้อเท็จจริง และการบริหารบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เราลองมาดูกันว่า บริษัทขนาดใหญ่มีจุดอ่อน จุดแข็ง ข้อดี ข้อเสีย อย่างไร เพื่อช่วยให้ รู้เขารู้เรา
ผลเสียของธุรกิจขนาดใหญ่ ได้แก่
1. มีความยืดหยุ่นน้อย เนื่องจากวิธีดำเนินการ กฎเกณฑ์ข้อบังคับ จำเป็นต้องรัดกุมตามปริมาณของบุคลากร
การตัดสินใจที่ผ่านขั้นตอนมากมาย ไม่สามารถสนองต่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที
2. ขาดความเป็นกันเอง ขาดความสนิทสนม กลายเป็นความเจริญแต่เพียงวัตถุ ซึ่งแน่นอนว่าหากไม่สามารถสื่อสารได้ดีย่อมกลายเป็นปัญหา
3. อาจจะหยุดยั้งความคิดริเริ่ม ส่งผลกระทบต่อความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากเชื่อตามคำสั่ง กฎเกณฑ์ ระเบียบแบบแผน เป็นสิ่งที่สร้างข้อจำกัดโดยปริยาย
ในบรรยากาศเช่นนี้ อาจเป็นเรื่องยากเย็นที่จะทำให้พนักงานยอมรับความคิดเห็นใหม่ ๆ ของบริษัทได้เช่นกัน
ผลดีของธุรกิจขนาดใหญ่ ได้แก่
1. มีแรงดึงดูดนักลงทุนและผู้ให้กู้ยืม เราะมีหลักฐานมั่นคง ย่อมได้รับการส่งเสริมสนับสนุนการลงทุน และการเงินมากกว่าบริษัทขนาดย่อมโดยปริยาย
2. ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้คนชำนาญพิเศษ บริษัทขนาดใหญ่ย่อมได้เปรียบในการสรรหาผู้มีความชำนาญพิเศษจำนวนมาก แบ่งงานตามความสามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
3. ฝ่ายบริหารมีความสามารถพิเศษจำนวนมาก ผู้บริหารจะมีระดับความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง และมักไม่สั่นคลอนเมื่อมีใครลาออก นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาผู้บริหารและเปิดโอกาสให้ใช้ความสามารถพิเศษต่าง ๆ
4. มีทรัพยากรช่วยงานสังคมได้มาก บริษัทขนาดใหญ่มีความพร้อมในการดำเนินการเกี่ยวข้องกับสังคมรูปแบบต่าง ๆ ทำให้ได้รับแรงสนับสนุนด้านกิจการจากชุมชน
ครับ! ค.ศ. 2000 ที่กำลังก้าวย่างใกล้เข้ามาทุกที ในความรู้สึกนึกคิดของ ผลเอง คิดว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเป็นภาระอันยิ่งใหญ่ที่มิใช่เฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ แต่บริษัทขนาดย่อมก็มีส่วนร่วมแห่งนัยสำคัญนี้
นับถอยหลังเสียยแต่เนิ่น ๆ น่าจะเป็นทางอยู่รอดของบริษัทขนาดย่อม เวลา
มีค่า ขึ้นอยู่กับใครใช้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด