องค์กรหรือบริษัทใหญ่ๆ มักมีปัญหาในการสื่อสารโดยเฉพาะระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง หรือระหว่างพนักงานระดับล่างกับผู้บริหาร ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสังคมไทย เป็นสังคมที่รู้จักถนอมน้ำใจกันและกัน ไม่ยอมหักหน้า หรือมุ่งรักษาศักดิ์ศรีของคนที่รู้จัก
นอกจากลักษณะของผู้คนในสังคมเป็นแบบนั้น อาจเกี่ยวเนื่องจากตอนเรียนไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็น ไม่กล้ายกมือถามครู จึงส่งผลให้เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ก็เข้ารูปแบบเดิมคือ ไม่กล้าในการสอบถามถึงความชัดเจนของเรื่องราวที่ได้รับคำสั่ง ไม่กล้าล้วงลูก สาวถึงความจริงในเรื่องต่างๆ ได้แต่ฟังคนที่สองที่สามเล่าเหตุการณ์ความเป็นไปอยู่ห่างๆ ซึ่งความจริงย่อมบิดพลิ้วถูกเสริมแต่งไปไม่มากก็น้อย
ลักษณะของสังคมไทยอีกอย่างคือ ระบบการช่วยเหลือหรือระบบอุปถัมถ์ ทำให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก เธอเป็นคนของใคร ฉันเป็นคนของใคร เราต่างไม่ถูกคอกัน เพราะไม่ได้เป็นของคนคนเดียวกัน การติดต่อสื่อสารก็มักจะห้วนๆ แฝงอคติ
ปัญหาในองค์กรใหญ่ก็คือ ผู้คนในหลายหน่วยงานก็เกิดจากระบบอุปถัมภ์ ทำให้อาจเกิดความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าระหว่างกันได้ การสั่งงานที่เกิดจากผู้บริหารหรือหัวหน้างานส่งผ่านมายังผู้ปฏิบัติการหรือคนทำงานดำเนินไปในรูปที่คลุมเครือ ไม่แน่ชัด เข้าใจไม่ตรงกัน ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานในองค์กรไม่ถึงระดับที่คาดหวัง ทั้งนี้อาจมีสัญญาณเตือนสำหรับผู้บริหารหรือหัวหน้า หลายประการดังนี้
การสั่งงานที่อาจเริ่มต้นคล้ายๆ ประโยคที่ว่า
ทุกคนคงทราบดีแล้วว่า
ขณะนี้เรากำลังเผชิญปัญหา
หรือ คงไม่ต้องอธิบายขั้นตอนอะไรมาก เพราะพวกเราก็ทำกันจนชินแล้ว
.. การเริ่มต้นที่ความไม่แน่ชัดคลุมเครือในสิ่งที่จะกล่าว ย่อมทำให้ผู้ที่ได้รับคำสั่ง นึกว่าไม่มีอะไรสำคัญก็ได้ หรือไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร การตอกย้ำหรือพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในการชี้แจงเพื่อให้เกิดผลตามที่ต้องการ
คำพูดที่ว่า ถ้ามีเวลาว่าง ช่วยค้นข้อมูลเรื่องนั้นหน่อยนะ
.. ยุ่งอะไรอยู่หรือเปล่า ช่วยพี่ทำ
.. การขอความช่วยเหลือกันเป็นสิ่งปกติ แต่บ่อยครั้งที่ความผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะคำกล่าวที่ไม่ให้รายละเอียดที่มากนัก ทำให้ลูกน้องไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใด ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไร มีขอบเขตงานขนาดไหน ความเร่งด่วนมากเพียงใด สิ่งเหล่านี้ถ้าลูกน้องเกิดเกรงใจ ไม่กล้าถาม ก็คงอาศัยการนั่งทางในหรือเดาใจหัวหน้าไปก่อน ทำให้การเสียเวลาทำงานนั้นไม่คุ้มค่า
มีปัญหาอะไรหรือเปล่า
.. ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เสร็จหรือยัง หัวหน้าที่ถามประโยคเช่นนี้บ่อยๆ แสดงให้เห็นถึงการไม่รับรู้ความเป็นจริงของสภาพปัญหาที่ลูกน้องของตนเองประสบอยู่เลย การให้ลูกน้องพูดอธิบายปัญหาเดิมๆ หลายรอบก็อาจบ่งชี้ถึงการไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่ลูกน้องพบเจอ หรือแท้จริงคือ การไม่ช่วยลูกน้องคิดหาทางแก้ปัญหาเลยนั่นเอง
นี่คุณช่วยบอก
.ให้ทำงาน
..หน่อยนะ คุณ
อยู่หรือเปล่า
.ช่วยบอกเขาด้วยนะว่าผมสั่งอะไรไป
.แค่นี้ล่ะ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดคนกลางในการติดต่อประสานงานกับคนอื่น ลองนึกดูถ้าเป็นงานเร่งด่วนและมีความสำคัญมาก การสั่งงานผ่านใครไปยังเจ้าของงานตัวจริงอาจจะลดทอนรายละเอียดที่สำคัญได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาระหว่างคนทำงานตัวจริงกับคนกลางที่ติดต่อไปได้ ต่างทำให้เสียเวลา และไม่แน่ชัดในสิ่งที่จะทำ
ปัญหานี้ นายดำเป็นคนผิด เพราะเป็นผู้ที่รับผิดชอบ
. นายดำนี่เป็นคนสะเพร่าจริงๆ นะ ตรวจทานให้ดีนะ นายดำ ถ้านายดำเป็นคนผิดจริงในหลายครั้ง เหตุใดจึงไม่ช่วยนายดำตรวจสอบหรือแก้ปัญหาบ้าง หัวหน้าที่กล่าวเช่นนี้ให้ลูกน้องฟังบ่อยครั้ง คะแนนของคุณจะหายไปทันที เพราะแสดงให้เห็นความเป็นคนไม่รับผิดชอบ ไม่ร่วมลงแรงด้วย รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงการลำเอียงที่ต้องติดต่อแต่นายดำ หรือมีปัญหาทางการสื่อสารกับคนอื่น จึงกล้าพูดตำหนิกับนายดำเท่านั้น คนอื่นไม่กล้า หรือต้องการรักษาหน้าตัวเองต่อลูกน้องคนอื่นว่า ตนเป็นคนดี มีน้ำใจ แต่ยกเว้นกับนายดำ ระวังคนอย่างนายดำจะลาออกไป คุณจะตกที่นั่งลำบาก
ได้ครับ
เดี๋ยวผมจะส่งคนไปดำเนินการให้ ยินดีครับ
อ๋อต้องการคนช่วยเหรอครับ
..เดี๋ยวผมจัดให้ ถ้าหัวหน้าพูดทางโทรศัพท์กับใครบ่อยๆ ในแนวนี้และลูกน้องต่างได้ยิน ทุกคนจะรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ เพราะมีหัวหน้าเป็นพ่อพระ รับแต่งานเข้ามา แล้วก็อาจจะเอาแต่โยนมันไปให้ลูกน้องของตัวทำ งานในหน้าที่ของลูกน้องเขาก็มีล้นมือ ถ้าเป็นเช่นนี้บ่อยๆ ลูกน้องคงเอือมระอากับพฤติกรรมใจบุญของหัวหน้าเป็นแน่ และอาจกำลังหางานบริษัทอื่นเป็นทางแก้ปัญหา
สัญญาณเตือนจากคำพูดของหัวหน้าในลักษณะต่างๆ เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นสิ่งที่คับข้องใจของทั้งลูกน้องและก็หัวหน้าด้วย ถ้าตระหนักถึงปัญหาอย่างแท้จริง ย่อมต้องมุ่งที่ความชัดเจนในการพูดคุยสาวไปถึงต้นตอสาเหตุ มากกว่าจะคอยรักษาหน้าตาหรือกลัวจะเสียหน้า หรือกลัวไม่เป็นที่รักของลูกน้อง เพราะการมุ่งรักษาเพียงภาพลักษณ์หรือคะแนนนิยมของตนเองในสายตาคนอื่นไว้ อาจมีราคาแพงเท่ากับผลขาดทุนที่มีค่ามหาศาลได้