รถที่เครื่องยนต์ชำรุดเพราะร้อนจัด คำว่าร้อนจัดอาจจะชวนให้เข้าใจผิด เพราะความหมายยังไม่ถูกต้องนัก กรณีนี้ภาษาอังกฤษจะสั้นและเข้าใจได้ง่ายกว่า คือ OVERHEATED หมายถึงร้อนเกินระดับใช้งานปกตินั่นเองครับ มีสาเหตุหลายประการด้วยกัน เช่น พัดลมไฟฟ้าไม่ทำงาน คลัทช์ความหนึดของพัดลมเสื่อมสภาพ สายพานขาด ท่อน้ำรั่วหรือแตก ฯลฯ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม สาเหตุบั้นปลายก็คือเครื่องยนต์ถูกใช้งานโดยขาดของเหลว (น้ำ) ช่วยระบายความร้อน เพราะตราบใดที่ยังมีน้ำหล่อเย็น เครื่องยนต์ก็ยังไม่ OVERHEATED จนถึงชั้นชำรุด เช่น พัดลมไฟฟ้าเสีย ความร้อนจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อน จนเกินจุดเดือดของน้ำในระบบ พอน้ำเดือดก็จะกลายเป็นไอทะลักออกมา เมื่อน้ำในระบบขาดไป เครื่องยนต์จึงจะชำรุด อาการประจำส่วนใหญ่ก็คือฝาสูบโก่ง เติมน้ำเข้าไปใหม่แล้วรั่ว บางทีอาจมีรายการปะเก็น (GASKET) ชำรุดพ่วงด้วย ทำไมฝาสูบของรถสมัยนี้ซึ่งทำด้วยอลูมิเนียมจึงโก่ง
เมื่อเครื่องยนต์ถูกใช้งานโดยมีน้ำหล่อเย็นไม่เพียงพอ เพราะฝาสูบรับความร้อนจากการเผาไหม้ในกระบอกสูบ จนเนื้ออลูมิเนียมร้อนถึงจุดที่อ่อนตัวแบบไม่คืนกลับครับ ตรงไหนถูกดันหรือดัดมากก็งอมาก พอเครื่องเย็นก็อยู่ในสภาพนั้น แรงบีบระหว่างฝาสูบและเรือนหรือเสื้อเครื่องยนต์ซึ่งมีปะเก็นฝาสูบคั่นอยู่ จึงลดลงมากในบางจุด ไม่สามารถ กันน้ำ ได้อีกต่อไป
ความเสียหายทำนองนี้ค่อนข้างหนักครับ เพราะต้องรื้อฝาสูบออกมา กัด ให้เรียบ ช่างชอบเรียกว่า ไส ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะถ้าไสจะได้ผิวเป็นเส้นและไม่เรียบพอ ถ้ามีเนื้อฝาสูบเหลือให้ไสก็ยังโชคดีครับ แต่รถราคาสูงยุคนี้ เครื่องยนต์ถูกออกแบบให้มีห้องเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพสูง คือประหยัดเชื้อเพลิง ให้กำลังสูง สารพิษในไอเสียน้อย ห้องเผาไหม้จึงมีรูปทรงเฉพาะ คลาดเลื่อนไม่ได้ คือเอาเนื้อมันออกไม่ได้นั่นเองครับ ต้องเปลี่ยนฝาสูบอันใหม่เท่านั้น หลายรุ่นราคาเกินหนึ่งแสนบาทนะครับ
เพราะฉะนั้นจะถือเป็นเรื่องเล็กหรือไม่สนใจไม่ได้ ถึงถือว่ามีเงิน ก็อาจจะได้คำตอบจากตัวแทนจำหน่ายว่า ไม่ได้เตรียมฝาสูบรุ่นนี้ไว้ในคลังอะไหล่เลย ต้องสั่งใหม่จากต่างประเทศ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ครับ วิธีป้องกันความเสียหายและเสียเงินระดับนี้ก็คือ หมั่นชำเลืองดูมาตรวัดความร้อนเป็นระยะครับ ใหม่ๆ อาจจะรู้สึกว่าใครจะทำไหว แต่ถ้ารู้ความสำคัญจนเกิดสำนึกและฝึกจนชินในเวลาไม่กี่วันแล้ว ก็จะติดเป็นนิสัยที่ดีตลอดไป โดยเฉพาะเมื่อขับที่ความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง ต้องหมั่นมองให้ถี่หน่อยครับ เพราะถ้าน้ำแห้งสักห้านาทีก็พังแล้ว
ปัญหาที่ผมพบอยู่ไม่น้อย คือพวกที่รู้แล้วว่าเครื่องยนต์ร้อนจัด แต่ ไม่กลัว หรือไม่ก็ขี้เกียจจอด หรือไม่ก็ประมาทเข้าข้างตัวเองว่า อีกไม่เท่าไรก็ถึงที่หมายแล้ว ผลเสียหายที่ตามมานั้นบางทีเกินร้อยเท่าครับ แทนที่จะโทรศัพท์ให้ศูนย์บริการส่งช่างมาซ่อม หรือลากไปเข้าอู่ ซึ่งค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับหนึ่งพันถึงสามพันบาท กลับต้องเสีย ค่าสบาย เป็นแสน
วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องคือรีบหยุดรถและดับเครื่องยนต์ทันที ห้ามรองน้ำไปราดบนเครื่องยนต์เด็ดขาด ตามช่างจากศูนย์บริการหรืออู่ประจำที่ไว้ใจได้มาจัดการ แล้วขึ้นแทกซีไปทำธุระแทนครับ ห้ามใช้ช่างจรที่มันชอบโผล่มาหาเราได้อย่างรวดเร็วน่าทึ่งเหมือนไม่ใช่คนเด็ดขาดครับ พวกนี้นักต้มมนุษย์ทั้งนั้น ถ้าการจราจรไม่ติดขัด มีประสบการณ์และความกล้าพอ ก็สามารถขับต่อได้ครับ
ถ้าพักจนความร้อนลดลง ตราบใดที่ เข็มความร้อน ชี้ยังไม่สุดหรือยังไม่ถึงขีดแดงหรือแถบแดง เครื่องยนต์จะไม่ชำรุด ใช้วิธีพักดับเครื่องยนต์เป็นระยะได้ ถ้ามีปัญหาความร้อนสูงเพราะพัดลมไม่ทำงาน ตรวจน้ำให้เพียงพอแล้วขับให้เร็วพอในเกียร์สูง เช่น เกิน 50 กม./ชม. ในเกียร์ 4 หรือ 5 ก็จะขับต่อเนื่องได้ครับ เพราะอาศัยลมปะทะผ่านหม้อน้ำก็เพียงพอแล้ว เมื่อใดรถติดค่อยใช้วิธีพักดับเครื่องยนต์เป็นระยะ
จำไว้เป็นหลักง่ายๆ ครับว่า ถ้าไม่ฝืนขับทั้งๆ ที่เครื่องยนต์ร้อนเกินเกณฑ์ปกติ เครื่องยนต์จะไม่มีวันชำรุด และเราก็จะไม่มีวันต้องเสียค่าซ่อมมากมายด้วย