|
|
สิ่งมีชีวิตที่เป็นสาเหตุของโรคพืช ได้แก่ ไวรัส (virus) ไมโคพลาสมา (mycoplasma or mycoplasmalike organism) แบคทีเรีย (bacteria) รา (fungi) ไส้เดือนฝอย (nematode) และพืชชั้นสูงที่เป็นปรสิต (higher plant parasites) ได้แก่ กาฝาก (mistletoes) และฝอยทอง (dodders |
|
|
|
|
|
ภาพที่ 20 โครงสร้างของไวรัส ที่มา : http://micro.magnet.fsu.edu/cells/virus.html |
|
ไวรัสมีลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือ
1. สามารถทำให้เกิดโรคและติดต่อได้ (transmissible)
2. สามารถเพิ่มจำนวนได้เฉพาะในพืชที่มีชีวิตเท่านั้น( reproduce only in vivo )
3. มีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิดใช้แสงธรรมดา( light microscope )
การจัดจำแนก( classification ) โดยใช้ธรรมชาติของเชื้อยังไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากความรู้และข้อมูลที่สำคัญในเรื่องธรรมชาติของเชื้อไวรัสสาเหตุของโรคยังไม่สมบูรณ์พอ ดังนั้นการจัดจำแนกกลุ่มของไวรัสสาเหตุของโรคพืชจึงใช้ลักษณะอื่นๆ แทน |
|
ลักษณะอาการของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อไวรัส ( symptoms of viral diseases in plant ) |
|
ลักษณะอาการที่เกิดจากเชื้อไวรัสแบบทั่วไปทั้งต้นเรียกว่า systemic symptom เนื่องจากไวรัสแพร่กระจายไปทุกส่วนของพืช สำหรับลักษณะอาการแบบเฉพาะที่ เรียกว่า local symptom ลักษณะอาการทั่วไปของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อไวรัสคือ การลดลงของขนาดพืช ส่วนยอดของพืชอาจไหม้และส่วนของใบอาจมีสีเหลืองซีดหรือเป็นจุดสีเหลืองซีดหรือจุดสีน้ำตาล หรือเป็นรอยจุดด่างเป็นดวงๆ( ring spot ) หรือเป็นรอยขีด( streak ) ใบพืชอาจจะเสียรูปร่างไปเพียงเล็กน้อย ใบเป็นคลื่น หรืออาจจะเสียรูปร่างไปจนไม่เหลือลักษณะเดิม
ความรุนแรงและลักษณะอาการของโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งจะผันแปรไปได้ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น ชนิดและอายุของพืช สภาพแวดล้อมก่อนเกิดการติดเชื้อ( infection ) และในระหว่างที่มีการพัฒนาของโรค และความผันแปรในตัวของเชื้อไวรัสเอง ความผันแปรในตัวเชื้อไวรัสชนิดใดชนิดหนึ่งสามารถตรวจสอบได้จากความแตกต่างในเรื่องของ ความสามารถในการก่อให้เกิดโรคกับพืชชนิดต่างๆ ลักษณะอาการของโรคที่เกิดขึ้นในต้นพืช และการถ่ายทอดเชื้อโรคโดยแมลงว่าเป็นแมลงชนิดใด ซึ่งความผันแปรนี้ก่อให้เกิดการแบ่งชนิดของไวรัสเป็น strain |
|
การถ่ายทอดเชื้อไวรัส ( virus transmission ) |
|
การแพร่กระจายของเชื้อไวร้สเกิดได้ 4 ทางดังนี้
1. ทางเมล็ด แต่เกิดขึ้นได้ยากมาก อาจเป็นเพราะว่าขณะเกิดต้นอ่อนภายในเมล็ดนั้น เชื้อไวรัสไม่สามารถติดเข้าไปได้
2. ทางส่วนขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ ( vegetative organ ) เชื้อไวรัสสาเหตุของโรคพืชที่ก่อให้เกิดอาการแบบ systemic ทั้งหมด ถ่ายทอดเชื้อโรคได้ด้วยวิธีนี้
3. ทางการสัมผัส มักเกิดในกรณีที่มีเชื้อไวรัสในปริมาณความเข้มข้นสูง อาจเกิดโดยการเสียดสีของกิ่งของต้นที่อยู่ใกล้กันขณะที่มีลมพัด หรือการที่รากของต้นไม้มาแตะกันแล้วเชื้อผ่านเข้าทางรอยแผล หรือเกิดการเชื่อมกันของราก ( root grafting )
4. ทางตัวพาหะ( vector ) เป็นวิธีการถ่ายทอดเชื้อที่สำคัญที่สุด ตัวพาหะนี้ได้แก่ รา ไส้เดือนฝอย นก สัตว์ขนาดใหญ่ และแมลง ซึ่งแมลงจัดว่าเป็นตัวพาหะที่สำคัญที่สุด |
|
ความสัมพันธ์ระหว่างไวรัสสาเหตุของโรคพืชและตัวพาหะที่เป็นสัตว์ขาปล้อง ( The relations of plant viruses to arthropod vectors ) |
|
ไวรัสเกือบทุกชนิด ยกเว้น TMV มีการแพร่กระจายและปลูกเชื้อโดยแมลง และแมลงที่เป็นพาหะที่สำคัญ คือ เพลี้ยอ่อน( aphid ) ซึ่งตามปกติเป็นตัวนำเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรค mosaic และไวรัสชนิดที่ใกล้เคียงอื่นๆ |
|
|
|
ภาพที่ 21 เพลี้ยอ่อน (aphids) ซึ่งเป็นแมลงพาหะที่สำคัญของเชื้อไวรัส ที่มา : http://www.freshops.com/nutrient.html |
|
แมลงที่เป็นพาหะสำคัญลำดับที่สองคือ เพลี้ยกระโดด ( leafhopper ) ซึ่งเป็นตัวการถ่ายทอดเชื้อ yellow virus นอกจากนี้ยังมีพาหะชนิดอื่นที่สำคัญ ได้แก่ เพลี้ยไฟ ( thrips) แมลงหวี่ขาว ( white fly ) เพลี้ยแป้ง ( mealy bug ) และไร( mite ) |
|
|
|
ภาพที่ 22 เพลี้ยกระโดด เป็นแมลพาหะของเชื้อไวรัสลำดับที่สอง ที่มา : http://www.ent.iastate.edu/imagegal/homoptera/leafhopper/potato/0212.37potatoleafhopper.html |
|
การจำแนกไวรัสสาเหตุของโรคพืชโดยใช้แมลงพาหะ |
|
ไวรัสสาเหตุของโรคพืชส่วนใหญ่ถ่ายทอดโดยมีเพลี้ยอ่อนเป็นพาหะ จึงถูกแยกออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
1. stylet-borne virus หรือ nonpersistent virus จะสามารถถ่ายทอดโดยติดไปกับปากของแมลงและหายไปจากตัวแมลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่การไปดูดกินน้ำเลี้ยงพืชหนึ่งครั้งเท่านั้น ไวรัสกลุ่มนี้มีสมาชิกมากที่สุด
2. circulative virus หรือ persistent virus ไวรัสสาเหตุของโรคพืชเข้าไปอยู่ภายในตัวแมลงเป็นระยะเวลายาวนานหรือตลอดชั่วชีวิตของแมลง ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าไวรัสมีการเพิ่มจำนวนในตัวของเพลี้ยอ่อนหรือไม่ แต่ถ้าเป็นไวรัสที่ถ่ายทอดโดยเพลี้ยกระโดด มันจะผ่านต่อไปยังรุ่นลูก รุ่นหลานได้ทางไข่ |
|
คุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของไวรัสสาเหตุของโรคพืช ( physical and chemical properties of plant viruses ) |
|
คุณสมบัติที่ว่านี้ได้แก่ ความเจือจางต่ำสุดของเชื้อที่สามารถก่อให้เกิดโรคกับพืช ( dilution end point ) อุณหภูมิในระดับที่สามารถหยุดปฏิกิริยาของเชื้อไวรัสได้( thermal inactivation point ) และความยาวนานในการดำรงชีวิตอยู่ได้นอกเซลล์สิ่งมีชีวิต ( longevity in vitro ) ซึ่งคุณสมบัตินี้สามารถช่วยในการวินิจฉัยชนิดของไวรัสที่ก่อให้เกิดลักษณะอาการของโรคที่คล้ายคลึงกันได้ แต่การทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพนั้นบ่อยครั้งที่มีปัจจัยภายนอกอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
TMV มีคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีที่คงที่มากกว่าไวรัสชนิดอื่น ๆ มักถูกนำไปใช้ในการศึกษาเรื่องต่างๆ มากมาย จนทำให้ทราบว่าตัว particle ของไวรัสประกอบด้วย nucleic acid และ protein โดย protein เป็นตัวห่อหุ้ม nucleic acid ไวรัสสาเหตุของโรคพืชส่วนใหญ่ที่ก่อให้เกิดอาการด่าง ( mosaic ) มี nucleic acid ประเภท ribonucleic acid ( RNA ) และมีไวรัสสาเหตุของโรคพืชอย่างน้อยที่สุด 1 ชนิด คือ cauliflower-mosaic virus ที่ nucleic acid เป็น deoxy- ribonucleic acid ( DNA )
ไวรัสมีรูปร่าง 3 แบบ คือ แบบเป็นท่อนตรง ( rigid rod ) แบบเป็นท่อนคด ( flexuous rod ) และแบบทรงกลมหลายเหลี่ยม ( polyhedral ) มีขนาดอยู่ระหว่าง 16 475 m? (1 m ? = 10 -6 mm ) ไวรัส TMV มีรูปร่างเป็นท่อนตรง มีขนาด 15 x 280 m? |
|
วงจรของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อไวรัส ( virus disease cycle ) |
|
เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์พืชโดยอาศัยตัวพาหะต่างๆแล้ว จะปล่อย RNA เข้าไปดึงเอาสารประกอบที่มีไนโตรเจนอยู่จาก cytoplasm และจาก nucleus ไปใช้ในการเพิ่มจำนวน nucleic acid ของตัวไวรัส และใช้ amino acid ของเซลล์พืชในการสร้าง protein ของตัวมันเอง หลังจากการสร้าง particle ใน vacuole ของเซลล์พืชหรือใน cytoplasm แล้ว อาจทำให้เห็นผลึกของเชื้อไวรัสเมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ |
|
ความสัมพันธ์ทางเซรุ่มวิทยา ( serological relationships ) |
|
ไวรัสเป็น antigen ที่เฉพาะเจาะจง ดังนั้น antiserum ที่ได้จากการใช้ไวรัสชนิดหนึ่งฉีดเข้าไปในตัวสัตว์จึงทำปฏิกริยากับของเหลวที่สกัดออกมาจากพืชที่เป็นโรคอันเนื่องมาจากไวรัสชนิดนั้น โดยของเหลวที่สกัดมาจากพืชต้องมีปริมาณของเชื้อไวรัสมากพอ antiserum ที่ได้มานี้จะไม่ทำปฏิกิริยากับของเหลวที่สกัดออกมาจากต้นพืชที่ไม่เป็นโรคหรือที่เป็นโรคอันเนื่องมาจากไวรัสชนิดอื่น การทดสอบทางเซรุ่มวิทยาช่วยให้สามารถบอกความสัมพันธ์ในระหว่างไวรัสพืชต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง |
|
ปรากฏการณ์การเข้าไปรบกวนพืชของเชื้อไวรัส ( interference phenomena ) |
|
ต้นพืชที่ถูกเชื้อไวรัส strain หนึ่งเข้าไปทำลายแล้วนั้น ตามปกติจะไม่ถูกเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันแต่ต่าง strain เข้าไปก่อให้เกิดโรคได้อีก ถ้าเชื้อไวรัสเป็นชนิดอื่นจึงจะเกิดโรคขึ้นได้ ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ได้ถูกนำมาใช้ทดสอบเชื้อไวรัสว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดได้เป็นอย่างดี คือ เมื่อมีโรคเกิดขึ้นจากเชื้อไวรัส strain หนึ่ง แล้วสามารถคุ้มกันตัวเองไม่ให้เป็รโรคจากเชื้อไวรัสอีก strain หนึ่งได้ เป็นการแสดงว่าไวรัสทั้งสองเป็นชนิดเดียวกันแต่ต่าง strain |
|
การควบคุมโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ( control of virus diseases ) |
|
กระทำโดยการป้องกันไม่ให้พืชเป็นโรค อาจทำโดยการใช้สารฆ่าแมลงฉีดพ่นเพื่อลดจำนวนแมลงพาหะเมื่อทำการปลูกพืช อาจใช้ความร้อนเข้าช่วยในการกำจัดเชื้อไวรัสออกไปจากตอพันธุ์ หรือตัดเอา apical meristem จากยอดอ่อนพืชที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วไปทำการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ( tissue culture ) ซึ่งจะทำให้ได้ต้นพืชที่ปลอดเชื้อไวรัส |