หน้าแรก เขียนใบสมัครงาน ลงโฆษณางาน ค้นหาใบสมัครงาน คู่มือการใช้งาน Menu

สนใจลงโฆษณา โทร. 02-275-1900, 02-612-4900, 038-395000

space
   ค้นบ่อย : หางานบัญชี, หางานธุรการ, หางานจัดซื้อ, หางานผู้จัดการ, หางานขับรถ, หางานบุคคล, หางานคลังสินค้า, หางานครู, หางานวิศวกร, หางานเขียนแบบ, หางานคีย์ข้อมูล, หางานการตลาด, หางานโรงแรม, หางานสิ่งแวดล้อม, หางานคอมพิวเตอร์, หางาน Programmer, หางานประชาสัมพันธ์, หางานช่าง, หางานสถาปนิก
เรื่อง ลดความอ้วนอย่างมีความสุข (3)
เขียนโดย นุชนันท์ วรรณโกวิท

Rated: vote
by 3 users

คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?

 




                                                     กินอย่างไรไม่ให้อ้วน...และมีความสุขกับการกิน..


แม้จะเป็นตอนที่ 3 ของบทความต่อเนื่อง เรื่อง "ลดความอ้วนอย่างมีความสุข" ผู้อ่านก็สามารถติดตามอ่านแยกตอนได้ไม่ซีเรียสแต่อย่างใด เว้นเสียแต่ผู้เขียนไม่อาจแต่งแต้มเรื่องราวให้มีความตื่นเต้นเร้าใจเฉกเช่นนิยายคลาสสิก หรือที่ใคร ๆ อาจชอบเรียกว่านิยายน้ำเน่าที่ชวนอ่านจนวางไม่ลง บทนี้จะเน้นเรื่องการกิน เรื่องปากท้อง ที่ทำให้เราไม่ต้องทรมานกับการอดของโปรดจนเกินไป บทก่อนหน้ากล่าวถึงหลักการ "เข้าน้อยออกมาก" และการกินอาหารที่มีกรดไขมันจำเป็นต่อร่างกายไปแล้วเสียยืดยาว มาบทนี้เลยจะต่อเรื่องการกินอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตกันบ้าง เพราะผู้สนใจเรื่องการลดน้ำหนักอย่างถูกสุขอนามัยหลายท่านอาจมีคำถามเกี่ยวกับการบริโภคอาหารจำพวก ข้าว แป้ง เผือก มัน กันอยู่พอสมควร ต้องขอออกตัวก่อนว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการโดยตรง แต่ก็สามารถสรรหาคำตอบและข้อสรุปมานำเสนอได้ หากผู้เขียนมีประเด็นใดตกหล่น หรือทิ้งทวนไว้ให้สงสัย ก็ส่งคำถามหรือทิ้งโน๊ตคุยกันได้ที่เว็บบอร์ดโดยตรง http://www.jobpub.com/editor/nwannakowit

การงดอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เพื่อลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหัวข้อฮอตฮิตในหมู่สาว ๆ ที่ควบคุมน้ำหนัก บ้างก็งดโดยสิ้นเชิง ไม่แตะต้อง ไม่ตักเข้าปาก ไม่กินอาหารในหมู่นี้เลย ทั้งข้าว แป้ง เผือก มัน ฯลฯ แต่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่แนะนำให้กินบ้างแต่กินในปริมาณน้อย ซึ่งก็มีการอธิบายอยู่ชัดเจนหลายแหล่งข้อมูลว่าทำไมไม่ควรงดทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตโดยสิ้นเชิง จะเห็นได้ว่าร่างกายต้องการทั้งแป้ง โปรตีนและไขมันในปริมาณมากพอดีที่จะทำให้ร่างกายนำไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญหรือเมตาบอลิซึม (metabolism) ใ้ห้เกิดพลังงาน ดังจะดูได้จากชาร์ทด้านล่างนี้

(source of this chart http://www.elmhurst.edu/~chm/vchembook/images/590metabolism.gif)

ถ้าร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรตที่จะนำไปเปลี่ยนเป็นน้ำตาลตัวตั้งต้นที่ต้องนำไปใช้ในการสันดาป(เมตาบอลิซึม) ก็จะดึงโปรตีนในกล้ามเนื้อมาย่อยเป็นน้ำตาลแทน ภายหลังการดึงโปรตีนมาย่อยเป็นน้ำตาลร่างกายจะมีสารตกค้างที่มีสภาวะเป็นกรด หากงดทั้งไขมัน คาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลมากเกินร่างกายจะย่อยไขมันและโปรตีนในกล้ามเนื้อแทน อาจเกิดภาวะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เลือดเกิดภาวะเป็นกรดสูง ทำให้หัวใจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ การอดข้าวปลาอาหารเป็นเวลานานไม่จัดเป็นการลดความอ้วนอย่างมีความสุข แต่จะพาให้ตัวเองต้องเข้าโรงพยาบาล หรือเสียชีวิตอันมีค่าได้

ต้องหันมาทำความเข้าใจกันให้ถูกต้องเสียก่อนว่าอาหารที่มีอยู่ตามธรรมทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีคุณประโยชน์ และโทษในตัวเอง เราเป็นผู้สรรหามาบริโภค จึงต้องเลือกและพิจารณาคุณและโทษของมันให้ดีก่อน อาหารหลัก 5 หมู่ ล้วนเป็นสิ่งไม่ควรงดเว้นทั้งสิ้น แหล่งข้อมูลนี้ http://www.womenfitness.net/carbs.htm ก็ได้อธิบายไว้ค่อนข้างชัดเจนในแนวเดียวกัน ว่าคนที่น้ำหนักตัวเกินส่วนใหญ่บริโภคแบบไม่บันยะบันยัง ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำไปเผาพลาญมาใช้ได้หมดในคราวเดียว ร่างกายจึงดึงกลับไปเก็บในรูปไขมัน เพราะคนกินสักแต่กินไม่ได้ออกกำลังกายให้มากพอกับที่กินเข้าไป ดังนั้นพิจารณาให้เห็นตามความจริงแล้ว อาหารไม่มีความผิดคนกินนั่นเองที่ผิด ผิดที่นิสัยการกินและนิสัยการออกกำลัง ผิดที่คนก็ต้องแก้ที่คน ดังที่เริ่มต้นเรื่องบทแรก เราต้องพิจารณาทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์ให้เป็น อย่าหลงประเด็น อย่าหาแพะรับบาป ไปดูกันต่อว่าถ้าไม่งดอาหารสักอย่างแล้วเราควรจะกินแค่ไหนถึงพอเพียงแก่การนำพลังงานไปใช้ทำกิจกรรมในแต่ละวัน

ย้อนกลับไปดูชาร์ทที่อธิบายเรื่องของเมตาบอลิซึมสักนิด จะเห็นได้ชัดว่า คาร์โบไฮเดรต ที่ถูกย่อยเป็นน้ำตาลที่นำมาใช้ได้ทันทีเช่น กลูโคส ฟรุกโทส กาแลคโทส เป็นสารตั้งต้นตัวสำคัญ ที่ทำงานร่วมกับกรดไขมันจำเป็น และกรดอะมิโนจากการย่อยโปรตีน ล้วนเป็นสารตั้งต้นที่ช่วยสังเคราะห์อะซีทีลโคเอนไซม์เอ (Acetyl Co A.) ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้เสร็จสิ้นกระบวนการเผาผลาญให้เกิดพลังงาน ก็ยังช่วยนำพลังงานไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อและทำงานร่วมกับสารสื่อประสาทตัวอื่นในการควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อให้เป็นปกติ  ดังนั้นเราจึงต้องฉลาดกิน ให้เพียงพอที่จะช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์พลังงานมาให้เราใช้ไม่ต้องเหลือเก็บสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน และที่สำคัญคือไม่เกิดโรคภัยไข้เจ็บ การทานอาหารให้ได้รับสารตั้งต้นสามตัวนี้ในระดับที่สมดุลกันอย่างไม่มากไม่น้อยเกินจึงเป็นสิ่งที่น่าท้าทายมาก สำหรับผู้ควบคุมน้ำหนักและผู้รักสุขภาพโดยทั่วไป

การเลือกทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตอย่างรู้จักรู้ใจ ไม่ได้เป็นเรื่องเข้าใจยากอย่างที่คิด แหล่งข้อมูลเดิมข้างต้นได้อธิบายไว้ค่อนข้างละเอียด ว่าอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตนั้นจัดได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ โดยจัดกลุ่มตามคะแนน GI(Glycaemic index) ซึ่งก็คือค่าชี้วัดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับอาหารแต่ละประเภทที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบ โดยมีคะแนนเต็มอยู่ที่ 100 คะแนน อาหารพวกคาร์โบไฮเดรตที่ทานเข้าไปแล้วร่างกายนำไปย่อยเป็นน้ำตาลได้อย่างช้า ๆ จะเรียกว่า low GI หรือ กลุ่ม GI ต่ำ ค่า GI น้อยกว่า 55 แต่พวกที่ทานแล้วร่างกายนำไปย่อยเป็นน้ำตาลได้เร็วในพริบตา จะเรียกว่า high GI หรือ กลุ่ม GI สูง ค่า GI มากกว่า 70 เมื่อมีกลุ่มเร็วและช้าแล้ว พวกคาร์โบไฮเดรตที่เรากินเข้าไปแล้วนำไปย่อยเป็นน้ำตาลได้ไม่ช้ามากแต่ไม่เร็วมาก จึงจัดเป็นพวกกลาง ๆ หรือ medium GI ค่า GI อยู่ระหว่าง 55 ถึง 70 พึงระลึกไว้ให้ดีว่าค่า GI เป็นเรื่องของเวลาที่ร่างกายสามารถนำน้ำตาลไปใช้ล้วน ๆ ไม่ได้บอกเรื่องปริมาณน้ำตาลหรือพลังงานที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายว่ามากน้อยแต่อย่างใด ดังนั้นจึงควรพิจารณาประเภทอาหารอีกครั้งก่อนหูตาลายหยิบเข้าปาก ไม่ใช่อุ้ยอันนี้ low GI กินเข้าไป ๆ ...แย่เลยนะ

เมื่อรู้แล้วว่ามีคาร์โบไฮเดรตอยู่หลายประเภท เราจะเลือกทานประเภทไหนกันดี อันนี้อยู่ที่ความสะดวกสบาย ความเป็นไปได้ที่จะสรรอาหารที่ท่านสามารถเลือกซื้อมาทานได้ ทั้งสอดคล้องกับเงินในกระเป๋าและเวลาในการจัดเตรียม ไม่มีสูตรใดตายตัว ไม่มีสูตรที่ต้องปฎิบัติตามกันหรือเหมือนกัน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คนเราไม่สามารถปฎิบัติเหมือนกันได้หมด แต่ความเป็นไปได้ที่จะลดน้ำหนักอย่างได้ผลดีนั้นแทบไม่แตกต่างกันเลย ด้วยหลักการเดียวกันที่ใคร ๆ ก็ทำได้ ไม่เกี่ยวกับฐานะความเป็นอยู่หรือชนชั้นวรรณะแต่อย่างใด "เข้าน้อยออกมาก" หลักการเดิม กฏเหล็กอย่างเดียวคือ "ควบคุมปากตัวเองให้ดี กินอย่างมีสติ" แต่จะเลือกเอาอะไรเข้าปากดี เป็นอีกคำถามที่ต้องหาคำตอบกันต่อไป

หากเราดูเว็บไซด์ของต่างประเทศก็จะพบว่าอาหารที่เค้าแนะนำเป็นอาหารที่มีในท้องถิ่นหรือประเทศของเค้านั่นเอง ดังนั้นการจะตอบคำถามแก่ผู้ลดน้ำหนักในประเทศไทยว่าเราจะกินอะไรกันดี ที่มีพิมพ์เผยแพร่ในสารานุกรมเยาวชน ก็มีคำอธิบายชัดเจนง่าย ๆ ไม่ปวดหัว พอสรุปได้ดังนี้

1. สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต - อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายย่อยสลายโปรตีนและไขมันไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญ ไม่ให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดสูง ผู้ใหญ่ทั่วไปต้องการอาหารจำพวกนี้เพียงวันละ 50-100 กรัม สำหรับผู้กำลังควบคุมอาหาร จะเลือกทาน เพียง 50 กรัม หรือ 100 กรัม ก็ขึ้นอยู่กับความมากน้อยและความหนักเบาของกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน คุณออกแบบได้เองว่าจะเลือกทานแบบไหน ทานอะไรดี ยกตัวอย่างให้ดูก่อน สมมติว่าข้าวหนึ่ง 6 ช้อน หนัก 20 กรัม เราทานเข้าไปก็จะได้รับพลังงาน 80 กิโลแคลอรี่

2. สารอาหารจำพวกโปรตีน - อาหารที่มีโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่เช่นกัน สำหรับตัวนี้คนทั่วไปที่โตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่แล้วและไม่อยู่ในภาวะเจ็บไข้ได้ป่วย ตั้งครรภ์ หรือเป็นโรคที่มีระดับกรดยูริคสูง ต้องการโปรตีนเพียง 0.8 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน ยกตัวอย่าง หญิงอายุ 20 น้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ต้องการสารอาหารจำพวกโปรตีน 50 kg x 0.8 g = 40g/วัน หญิงทานอาหารจำพวกโปรตีนเพียงแค่วันละ 40 กรัม ก็พอเพียงแก่การนำไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญตามปกติของร่างกายแล้ว

3. สารอาหารจำพวกไขมัน - อาหารที่มีไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี่ อย่าเพิ่งนึกถึงแต่ของมัน ๆ ที่ไร้ประโยชน์ ร่างกายเราต้องการกรดไขมันจำเป็นที่สะอาดและดีอย่างกรดไลโนเลอิก วันละประมาณ 15 ช้อนชา อย่างที่เล่าให้ฟังในบทก่อนหน้านี้ กรดไขมันจำพวก โอเมก้า 3-6 และ 9 ล้วนมีประโยชน์ต่อระบบประสาท ต่อมไร้ท่อ ผิวพรรณ นับว่าเป็นอาหารหมู่สำคัญที่สุดหมู่หนึ่งทีเดียว ที่คนเราชอบคิดผิด ๆ และกินผิด ๆ กินแต่ของมัน ๆ ที่ไม่มีกรดไขมันจำเป็น ร่างกายไม่ได้นำไปใช้แต่เก็บสะสมจนกลายเป็นอ้วน

บทความหนึ่งอ้างอิงข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ที่ได้กำหนดไว้ว่า ผู้ใหญ่ (รวมหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร) ควรบริโภคไขมันไม่เกิน 25-30 % ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน หรือ ไม่เกิน 65 กรัมต่อวัน ในปริมาณเท่านี้อาจฟังดูมาก แต่เราสามารถออกแบบได้อีกแล้ว เลือกทานได้ จะทานแค่ 10-30 กรัม ก็ย่อมได้แต่มีข้อแม้ว่าควรได้รับกรดไขมันจำเป็นกลุ่มโอเมก้า 3 อย่างน้อย 0.6-1.2 % ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน หรือ ไม่น้อยกว่า 0.4-0.8 กรัม และ โอเมก้า 6 ที่มีในน้ำมันสกัดเย็นจากเมล็ดพืชหลายชนิด อีก 5-10% ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน หรือไม่น้อยกว่า 3.25-6.5 กรัม โอเมก้า 9 ก็เป็นกรดไขมันอีกประเภทหนึ่ง ที่เราควรได้รับเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือ กรดไขมันโอเลอิก (Oleic acid) ซึ่งพบมากในน้ำมันมะกอก และ มีตัวอื่นที่พบในเม็ดมัสตาร์ด ตัวอื่น ๆ บางตัวก็พบได้ในเนื้อสัตว์ แต่กรดไขมันประเภทโอเมก้า 9 ไม่จัดอยู่ในกลุ่มกรดไขมันจำเป็น (Essential fatty acids) เพราะร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้จากกรดไขมันไม่อิ่มตัว (ไม่จับกับโมเลกุลของไฮโดรเจน) ที่เราบริโภคเข้าไป เช่นพวกไขมันที่มีโอเมก้า 3 และ 6 เป็นต้น ดังนั้นไม่ต้องกังวลกับการหามาบริโภค แต่ให้ทานอาหารที่มีกรดไขมันจำเป็นพวกโอเมก้า 3 และ 6 ให้พอเพียง จึงจะดีต่อสุขภาพ

*บทความที่อ้างถึงแนะนำให้คะเนว่า น้ำมันปริมาณประมาณเท่าหัวนิ้วโป้งมีน้ำหนักประมาณ 1 กรัม (9 กิโลแคลอรี่)

4. วิตะมิน - จัดอยู่ในสิ่งจำเป็นที่ร่างกายขาดไม่ได้ แต่ต้องการในปริมาณที่น้อยมาก เพียงเพื่อให้ปฎิกิริยาทางเคมีต่าง ๆ เป็นไปตามปกติ วิตะมินถูกจำแนกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ ตามสถานะการถูกละลาย พวกที่สามารถละลายได้ในน้ำ เช่น วิตะมินซี และบี ส่วนพวกที่ละลายได้เฉพาะในน้ำมันไดแก่ วิตะมินเอ ดี อี และเค สามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณของวิตะมินแต่ละชนิดที่ร่างกายต้องการได้จากลิงค์ตารางแสดงแหล่งอาหารที่มีวิตะมินและเกลือแร่ หรือวิกิพีเดีย ก็มีคำตอบให้ท่าน ในที่นี้จะยกตัวอย่างจากวิกิพีเดียมาให้อ่านโดยสรุป สำหรับวิตะมินบางตัวเท่านั้นแต่ก็เป็นข้อมูลสำหรับชาวอเมริกัน อาจมากน้อยต่างกันไม่มากตามสภาพการสูญเสียวิตะมินเกลือแร่ออกจากร่างกายในแต่ละถิ่นฐาน เช่น บ้านเราเป็นเมืองร้อนชื้น เหงื่อออกเยอะ และเกิดการสูญเสียวิตะมินกับเกลือแร่บางตัวที่ทำละลายในน้ำไปกับเหงื่อได้ง่ายกว่า ถ้าทานในปริมาณเท่าคนเมืองหนาวเราอาจได้รับวิตะมินที่เหลือในแต่ละวันไม่พอเพียง แต่ถ้าไม่พูดถึงความแตกต่างเรื่องถิ่นฐาน มาตรฐานเดียวกันที่มนุษย์จะพึงได้รับในระดับที่เรียกว่าพอเพียงก็มีอยู่

วิตะมิน ซี - ผู้ใหญ่ทั่วไปเพศชาย ต้องการเพียงวันละ 90 มิลลิกรัม ในขณะที่หญิงวัยเดียวกันต้องการน้อยกว่าเล็กน้อยคือ 75 มิลลิกรัม และหากทานมากเกิน 2,000 มิลลิกรัม ร่างกายก็จะขับออกทางปัสสาวะ ไม่แนะนำให้ทานมากเกิน 1,000 มิลลิกรัม ในสภาวะร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ เพราะไตจะทำงานหนักมากขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ แต่ผู้รักสุขภาพบางท่านนิยมทานวิตะมินซีในโดสสูง ๆ เช่น 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในยามที่มีอาการหวัด หรือ เจ็บป่วยจากการติดเชื้อ แทนการทานยาจำพวกปฎิชีวนะ เพราะวิตะมินซีมีฤทธิ์โดยตรงในการช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้น หากร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ตามปกติก็จะช่วยให้หายป่วยไว อาการติดเชื้อไวร้สจะบรรเทาลงได้ดีในระดับหนึ่งเมื่อทานแล้วได้รับการพักผ่อนมากพอที่จะให้ร่างกายจัดการกับเชื้อโรคได้ด้วยระบบรักษาตัวที่ทำงานได้ดีขึ้นจากระดับภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้น ทั้งนี้ไม่แนะนำให้นำไปใช้ในกรณีร่างกายไม่แข็งแรงหรืออาจมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้ออื่น ๆ ซึ่งต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างทันท่วงทีด้วยตัวยาเฉพาะทาง

วิตะมินดี - fact sheet อธิบายถึงการสร้างวิตะมินดี ซึ่งเกิดได้จากการถูกแสงแดดช่วงอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet ray) ที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างวิตะมินตัวนี้ขึ้น เนื่องจากวิตะมินตัวนี้ละลายได้เฉพาะในน้ำมัน และพบได้น้อยมากในแหล่งอาหารที่เรากินกัน อาหารที่พอจะพบวิตะมินดีอยู่บ้างได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ไข่แดง แต่เพราะมีบทบาทที่สำคัญในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยเรื่องของกระดูก ทำให้ลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน และบทบาทสำคัญอื่น ๆ อีกมาก จึงมีการคิดค้นผลิตวิตะมินดีชนิดพิเศษขึ้นมา ในประเทศไทยก็มีขาย ลองอ่านรายละเอียดจากลิงค์ที่แนบมา ที่ได้กล่าวถึงวิตะมินและเกลือแร่ตัวอื่น ๆ ไว้อีกด้วย

5. เกลือแร่ -  อ้างอิงตามสารานุกรมเยาวชนข้างต้น ได้จัดประเภทเกลือแร่ที่สำคัญ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม คลอรีนและกำมะถัน ไว้ในกลุ่มเกลือแร่สำคัญที่ร่างกายต้องการมากถึงวันละ 100 มิลลิกรัม ส่วนเกลือแร่ชนิดอื่น ๆ ร่างกายต้องการเพียงวันละ 2-3 มิลลิกรัมเท่านั้น แต่ในแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน กล่าวถึง เหล็กซึ่งเป็นเกลือแร่ที่มักพบว่าได้รับไม่พอเพียงในกลุ่มผู้สูงอายุ และการขาดเหล็กในปริมาณที่พอเพียงทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง อันนี้ก็ต้องสืบหาความรู้รอบตัวกันเพิ่มเติมอีกหน่อย สำหรับผู้ลดความอ้วนหรือควบคุมน้ำหนักตามแนว "ลดความอ้วนอย่างมีความสุข" ก็ไม่ต้องกังวลกับการขาดสารอาหาร เพราะเราแนะนำให้ทานทุกอย่าง ในปริมาณที่พอเหมาะ รู้จักพอและมีสติในการทานทุกมื้อ

ตารางแสดงแหล่งอาหารที่มีวิตะมินและเกลือแร่ โดย Wyeth Consumer Healthcare โพสต์บน www.csjoy.com

*** ความต้องการสารอาหารแต่ละประเภทนั้นเปลี่ยนแปลงตามวัย เพศ และสภาพร่างกาย เช่น ผู้มีภาวะเจ็บป่วยหรือเพิ่งฟื้นไข้ ผู้หญิงตั้งครรภ์ เด็กในวัยกำลังเจริญเติบโต ต้องการอาหารจำพวกโปรตีนและไขมันจำเป็นค่อนข้างสูงกว่าคนปกติทั่วไป ในขณะเดียวกันก็ต้องการคาร์โบไฮเดรตในระดับที่มากพอและไม่น้อยไปกว่าคนปกติวัยทำงานทั่วไปเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องระวังเรื่องการควบคุมอาหารสำหรับผู้อยู่ในกรณียกเว้นดังกล่าว และระวังให้มากขึ้นสำหรับผู้มีโรคเกี่ยวกับระบบหัวใจ ไต หลอดเลือด สภาวะเบาหวาน อีกด้วย

ยกยอดไปต่อในบทต่อไป จะเป็นเรื่องการควบคุมน้ำหนักโดยการกินให้เหมาะและออกกำลังกายแต่พอดี




ความคิดเห็นของคุณกับบทความนี้ ...

 

user_icon

Knowledge Center
knowledge center
knowledge

star

วิธีการเลือกสำนักงานบัญชี โดยวรสรรค์ มี้เจริญ
 
เรื่องน่ารู้ตามหมวดหมู่
• การแพทย์
• ความรู้ทั่วไป
• เรื่องของผู้หญิง
• กีฬา
• ข่าวและสื่อ

และอื่น ๆ อีกมาก

  ค้นหาเรื่องที่คุณสนใจ
ระบุ keyword
 
True vision

TV Icon

TV Interview

หลากเรื่องราวทางธุรกิจ แง่มุมของผู้บริหาร จากบริษัทชั้นนำต่างๆ

dot
HR Corner
สัมภาษณ์คัดเลือกผู้สมัครงานอย่างไร? ให้ตรงสเป็ค
https://www.jobpub.com/new_images/play.gif
 
The Seeds of Innovation นวัตกรรมใหม่แห่งการพัฒนาบุคลากร
https://www.jobpub.com/new_images/play.gif
 
การสร้างความแตกต่าง ให้เหนือคู่แข่ง
คุณมกร พฤฒิโฆสิต
https://www.jobpub.com/new_images/play.gif
dot

https://www.jobpub.com/new_images/playall_b.gif

 

หางานบ่อย : กลึงเขตรามคำแหง ทหาร งานต่างจังหวัด แม่บ้าน-พี่เลี้ยงเด็ก ท่าแซะ ประกาสหางาน สมัครงานในห้างเมกะบางนา กฎหมายชลบุรี ปวช การโรงแรม บัญชี, หางานชั่คราววุฒิม.3 ชลบุรี พนักงานบัญชี นคปฐม ธกสปัตตานี เจ้าหน้าที่ธุรการ สมุทรรปราการ พนักงานธุรการแถวปลวกแดง วุฒิ ป.6สำโรง หางานขับรถให้ฝรั่งในพัทยา พนักงานประจำเซเว็น ช่างปิ่นเกล้า กระดาษดับเบิล เครมประกัน พนักงานจัดเลี้ยงโรงแรม บริษัท สามารถ จำกัด หางานวุฒิ ม.6 ในเขตสายไหม log and load ผู้จัดการฝ่ายกฎหมาย php พัทยา เซรามิ ค รับสมัครงานลาดพร้าว คำนวณการ ธุรการ 15,000 โลหวืทยา บางเเม่นาง ธุรการปรสานงานขาย หางานครู พิษณุโลก ไม่จำกัดวุฒิ นครศรีธรรมราช เข้ การผลิต/ควบคุม pc จัดรายการในภูเก็ต พนักงานประจำรามคำแหง วุฒิ ม.3ลาดพร้าว แม่บ้าน เขตนานา ภูเก็ต วุฒิ ปวช.3 วรรณพร งานด้านโฆษณา ส่งขนมปัง ผู้จัดการแม่บ้าน ชลบุรี นาท ชั ย ผู้จัดการเกษตร สมัครงานวุฒิ ป.ตรี ที่ลพบุรี