ค้นบ่อย
:
หางานบัญชี,
หางานธุรการ,
หางานจัดซื้อ,
หางานผู้จัดการ,
หางานขับรถ,
หางานบุคคล,
หางานคลังสินค้า,
หางานครู,
หางานวิศวกร,
หางานเขียนแบบ,
หางานคีย์ข้อมูล,
หางานการตลาด,
หางานโรงแรม,
หางานสิ่งแวดล้อม,
หางานคอมพิวเตอร์,
หางาน Programmer,
หางานประชาสัมพันธ์,
หางานช่าง,
หางานสถาปนิก |
เรื่อง
CPR........ทำที่คอ
เขียนโดย นุชนันท์ วรรณโกวิท
|
Rated:
by 1 users |
|
|
|
|
ทำ CPR....ที่คอ ??
หลาย ๆ คนที่ได้เคยฝึกหลักการพยาบาล หรือฝึกทักษะการช่วยชีวิตผู้ป่วย คงต้องรู้จักการทำ CPR หรือ เป็นอย่างดี อาจฉงนกับหัวเรื่องว่า จะทำ CPR ที่คอได้ยังไง
เริ่มที่จุดปฎิบัติงานประจำวัน 1.re-Checking --- ตรวจเช็คสภาพแวดล้อม ณ จุดปฎิบัติงาน working station ควรมีตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ถูกตามหลักการยะศาสตร์การทำงาน จอคอมพิวเตอร์ไม่ควรอยู่สูงหรือต่ำกว่าระดับสายตา จนทำให้ต้องก้มหรือเงยหน้าทำงาน เก้าอี็ที่นั่งทำงานต้องมีพนักพิงสูงพอให้พักศรีษะได้ (ส่วนใหญ่ไม่มี มักทำเฉพาะเก้าอี้ผู้บริหาร) เมื่อทำงานไปนานเกินชั่วโมง กล้ามเนื้อคอจะเริ่มเมื่่อยล้าทีละน้อย หากไม่ได้พักเอนศรีษะก็จะทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากเกินความสามารถ ส่วนใหญ่บาดเจ็บเรื้อรังจากการฝืนทำงาน แม้ตัวเราเองไม่เห็นจะเป็นการเจ็บปวดอะไร แต่ความจริงกล้ามเนื้อรับภาระงานและอาการเจ็บปวดสะสมทุกวัน จนแสดงอาการให้เห็นเมื่อร่างกายแสดงการปกป้อง (protective mechanism) ไม่ให้กล้ามเนื้อเกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติม เช่น การมีกล้ามเนื้อเกร็งเป็นลำ เคลื่อนไหวลำบาก ขยับเขยื้อนได้น้อยกว่าปกติ หลักการที่แนะนำนี้ ใช้ปฎิบัติกันโดยทั่วไป เพียงแต่ไม่มีการเรียกว่า CPR (เป็นคำ่ย่อ ที่หมายถึงการช่วยชีวิตผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้น) ในปัจจุบัน แม้ว่าเทคนิคการรักษาโรคก้าวไปไกล วิธีการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ล้วนก้าวหน้าไปมาก แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็ยังประสบปัญหาการรับมือกับภาวะอาการปวดเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นภาวะปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ล้วนแล้วแต่มีรากฐานมาจากการขาดความรู้ ความเข้าใจในการปฎิบัติตัวที่ถูกต้องของผู้ป่วยเอง และยังมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ ไม่อาจให้เวลาดูแลผู้ป่วยที่ประสบปัญหาปวดเรื้อรังได้เต็มที่ ดิฉันจึงต้องการแนะนำให้ผู้ที่มาปรึกษาทุกท่านเข้าใจในส่วนนี้ ประหนึ่งการช่วยชีวิตคนในภาวะล่อแหลม 2.re-Positioning -- ปรับเปลี่ยน จัดอุปกรณ์ให้เข้าที่ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ควรอยู่ในระดับที่พอดีกัน ไม่ทำให้ต้องยืดตัวตรง หรือ ค้อมตัวลงในขณะทำงาน เมื่อนั่งเก้าอี้ เท้าสองข้างควรสัมผัสพื้นพอดีเต็มเท้า ถ้าไม่ถึง ควรปรับระดับให้เก้าอี้เตี้ยลง หากปรับเก้าอี้ไม่ได้ ควรหาอะไรมาวางเสริมเป็นพื้นให้เท้าเหยียบได้ เก้าอี้ที่นั่งแล้วดี เวลานั่งควรเอนพิงได้โดยเท้าไม่ยกจากพื้น ความลาดเอียงควรมีมุมประมาณ 110-120 องศา ถ้าปรับระดับความลาดเทได้ก็จะดี ถ้าต้องนั่งประจำนาน ๆ ในเวลาทำงานควรใช้เก้าอี้ที่มีการรองรับหลังช่วงล่าง ถ้าหาหมอนรองหลังช่วงบั้นเอวที่ออกแบบมาเพื่อหนุนได้พอดี ประกอบด้วยวัสดุที่ไม่ยวบเกินไปก็จะช่วยได้ เก้าอี้ส่วนใหญ่ไม่มีจุดรับน้ำหนักสำหรับหลังส่วนล่าง ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องเกร็งทำงานหนักขึ้น ร่างกายสูญเสียความระวังตัวไปมากกับหลังส่วนล่าง การควบคุมสมดุลย์ของกระดูกสันหลังช่วงคอ บ่าและศรีษะก็จะลดน้อยลง โดยเราไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของท่าทางขณะทำงาน คออาจจะแอ่นมากไป หน้ายื่นเข้าใกล้จอคอมพิวเตอร์ ไหล่งุ้ม โดยไม่รู้สึกตัว หากเป็นเช่นนี้ประจำ ย่อมส่งผลทำให้กล้ามเนื้อ คอบ่าและไหล่ ทำงานหนัก เกิดภาวะการอักเสบเรื้อรัง กล้ามเนื้อเสียความยืดหยุ่น และเจ็บปวดตามมา เมื่อมีอาการบ่อย ๆ บางรายจะมึนศรีษะ เพราะกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวค้างบีบรัดเส้นโลหิตฝอยโดยรอบและบางครั้งทำให้ เกิดข้อต่อคอยึดติด เป็นผลทำให้เส้นโลหิตที่ไหลเวียนขึ้นสมองถูกเบียดทับได้ บางรายจึงมีอาการคลื่นไส้ บ้านหมุน จนถึงกับ วูบ หมดสติ เกิดอันตรายขึ้น โดยเราไม่คาดคิดว่าจะเป็นผลมาจากอาการปวดคอที่เป็นอยู่ประจำ
เริ่มที่ตัวคุณเอง 3. Restoration:- การฟื้นสภาพ ให้เข้าใจว่า เป็นการทำให้ร่างกายคืนสภาพใกล้เคียงสภาวะที่สมบูรณ์มากที่สุด ด้วยการดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวม และ การแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดไปด้วยพร้อม ๆ กัน
การดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวม - มักถูกละเลย เพราะผู้มีปัญหาปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อจากการทำงานส่วนใหญ่ อาจเข้าใจไปเองว่า เป็นเรื่องของการทำงานที่ส่งผลต่อความเจ็บป่วย ลืมคำนึงไปว่า ตนเองอาจไม่ได้ดูแลสุขภาพโดยรวมให้ดีเท่าที่ควร เช่น การทานอาหาร เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายมีภาวะเสื่อมถอยมากขึ้น การได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน การขาดวิตะมินและเกลือแร่ การพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ ภาวะความเครียด ฯลฯ หลาย ๆ ปัจจัยร่วมส่งผล ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไ้ด้ไม่ดีเหมือนคนในวัยเยาว์ การดูแลสภาพจิตใจตนเอง รับภาระความเครียดได้ดี มีเวลาพักผ่อนมากพอ จัดสรรเวลาออกกำลังให้ถูกต้อง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 วัน วันละ 15-นาที ฟังดูง่าย แต่ส่วนใหญ่มักทำได้ยาก ดูราวกับเป็นทฤษฎีที่เขียนไว้ให้ท่องจำ ทั้ง ๆ ที่คนจำนวนไม่น้อยปฎิบัติแล้วให้ผลดี ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ไม่แก่ไว การดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวมนี้ จะให้กล่าวอย่างครอบคลุม คงทำยากสักหน่อย เพราะแต่ละท่านก็มีวิถีการดำเนินชีวิตแตกต่างกันไป บางท่านอยู่กับครอบครัว บางท่านอยู่คนเดียว แต่ทำงานหนักมาก อย่างไรก็ต้องปรับให้เหมาะสมกับสภาพและสถานการณ์ ไม่ควรละเลยและคิดว่าจะจัดการเฉพาะกับปัญหาเจ็บปวด เฉพาะจุดเท่านั้น เนื่องจาก ร่างกายของเราเป็นหนึ่งเดียว หากสุขภาพโดยรวมไม่ดีแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อย ก็หายยากกว่าปกติ การจัดการดูแลสุขภาพตนเองให้ดีนั้น จัดเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถือเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่เจ้าของร่างกายต้องศึกษารายละเอียด และสังเกตุความปกติของตัวเองเป็นประจำ เมื่ออะไรผิดไปจากปกติ จะได้รักษาได้ทันท่วงที ในส่วนนี้คุณต้องหาความรู้เพิ่มเติมควบคู่ไปด้วย ทั้งเรื่องการทาน การพักผ่อน การออกกำลังที่เหมาะสม การดื่มน้ำ ฯลฯ ไม่มีใครออกแบบใหุ้คุณได้ดีเท่าตัวคุณเอง นอกจากร่างกายจะฟื้นตัวจากภาวะความเจ็บป่วยได้เร็วแล้ว การปฏิบัติที่ดีในส่วนนี้จะให้ผลระยะยาวในการทำให้มีอายุยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงเบียดเบียนอีกด้วย
การแก้ปัญหาเฉพาะจุด - แก้ปัญหาที่ท่าทางการทำงานเป็นหลัก สังเกตุท่าทางการทำงาน เมื่อปรับ working station แล้ว ควรรักษาท่าทางการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทั้งลำคอไม่แอ่น คางไม่ยื่น ขณะทำงาน ไหล่หลังไม่งุ้มไม่เอียง ทำการเคลื่อนไหวอย่างมีสติทุกครั้ง เมื่อต้องนั่งทำงานนานเกิน 1 ชม. ควรพักอย่างน้อย 5-10 นาที หากไม่ได้ลุกก็ควรเอนหลังพิงศรีษะใ้ห้กล้ามเนื้อคอได้พักการใช้งานบ่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่มีอาการปวดท้ายทอย อาจตั้งเวลาให้พักทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง พักเพียง 3 นาทีก็พอ อาจไม่ให้ใครสังเกตุเห็นว่าพักบ่อย โดยการทำงานอย่างอื่น สลับกันไป หากคลำพบว่ากล้ามเนื้อแถวต้นคอด้านข้างและใต้ต่อท้ายทอยเกร็งแข็ง สามารถใช้ถุงเจลร้อนห่อผ้าขนหนูวางประคบได้ การทายาร้อน ร่วมกับบีบนวดเบา ๆ สามารถเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตรอบ ๆ ศรีษะและท้ายทอย ช่วยลดอาการมึนศรีษะได้
ที่บ้าน - ออกกำลังให้เป็นกิจวัตร หากไม่มีอาการปวดมาก ให้ออกกำลังโดยการเกร็งกล้ามเนื้อรอบคอ หากว่าีมีอาการปวดมึนมาจากที่ทำงานแล้ว ให้นอนพักผ่อนเสียก่อน การนอนควรให้แนวลำคอราบขนานกับพื้นมากที่สุด ไม่มีจุดหักโค้งงอ ไม่เอียงซ้ายขวา เราเรียกว่าท่าเริ่มต้น หรือ neutral position ก่อนจะทำการออกกำลังควรดูว่ากล้ามเนื้อรอบคอนั้นปวดมากน้อยเพียง ใด มีอาการบวม มีีความร้อนสูงหรือไม่ สีผิวแดงช้ำในบริเวณใดหรือไม่ หากมีอาการเหล่านี้ ควรใช้เจลเย็นประคบสัก 10-15 นาทีขณะนอนพัก หรือทายาซึมเร็วชนิดเย็นที่ใช้ลดอาการกล้ามเนื้ออักเสบเสียก่อน ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว หากอาการปวดทุเลาลงจึงค่อยออกกำลังท่าบังคับในขณะนอน (ประยุกต์ได้) หากไม่มีอาการปวดมึนหลงเหลือแล้ว สามารถออกกำลังในท่านั่งได้
เมื่อออกกำลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรงแล้ว ก็ควรมีการยืดกล้ามเนื้อด้วย ท่าทางที่ใช้สำหรับยืดกล้ามเนื้อคอ สามารถเปิดดูได้จาก internet พิมพ์คำว่า stretching techniques ผ่านกูเกิ้ล หากจะเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ให้พิมพ์ stretching + neck pain เลือกดูไซด์ที่มีรูปภาพและคำอธิบาย ที่เราเข้าใจง่าย ปัจจุบันมีแพทย์และสถานพยาบาล หน่วยงานรัฐ จัดทำให้อ่านได้นำมาปฎิบัติตามได้ไม่ยาก ซึ่งปกติแล้วผู้ป่วยที่มีอาการปวดคอที่ไม่มีภาวะปวดร้าวหรือ มึนศรีษะ สามารถทำการยืดกล้ามเนื้อรอบ ๆ คอได้เต็มช่วง ตามปกติ แต่ในกรณีทีีมีอาการมึนศรีษะ ควรระวังทำแต่เบา ๆ ก่อน เลี่ยงการเอียงซ้ายขวาแบบสุด ๆ เลี่ยงการเอียงซ้ายหรือขวาร่วมกับการก้มศรีษะ เพราะเป็นท่าทางที่ทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองถูกบีบอัดให้แคบ ได้ หากทำท่าใด ๆ ก็ตาม แล้วเกิดอาการเวียนศรีษะ เหมือนพื้นบ้านหมุน คลื่นไส้อยากอาเจียน หูอื้อ ตาลาย อาการใด ๆ อาการหนึ่ง หรือ ทุกอาการร่วมกัน ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน ห้ามออกกำลังอะไรใด ๆ เองต่อเด็ดขาด
หลักการ 1-2-3 (C-P-R) นี้ เป็นสิ่งตายตัว ที่ผู้ป่วยควรต้องทำ ทำไปพร้อม ๆ กันทั้งสามส่วน ทำแล้วดีขึ้นทุกราย ส่วนใหญ่ที่ทำแล้วไม่ประสบผล เพราะพลาดที่ 1-2-3 ในบางจุด บ้างก็ทำแล้วเห็นผลช้า ไม่ทันใจ จึงเปลี่ยนแนวทางการรักษาไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง รักษาหายช้า จนถึงรักษาไม่หายในที่สุด การรักษาโดยวิธีการแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ ที่ได้รับการรับรองโดยแพทยสภา ร่วมกับหลักการที่ให้นี้ ก็สามารถช่วยให้เกิดผลดีในแนวทางเดียวกัน มักไม่มีแนวทางที่ขัดกัน (เรียกว่า แนวทางการรักษาโดยไม่ใช้ยา ธรรมชาติบำบัด ฝรั่งเรียก Naturopathy/ Naturopath/ Natural Medicine)
หากไม่แน่ใจว่าจะปฎิบัติเองได้ ควรไปพบแพทย์ หรือ นักกายภาพที่ประจำอยู่ในโรงพยาบาล เพื่อขอคำแนะนำ โดยเฉพาะเรื่องการออกกำลังที่เหมาะสม นักกายภาพที่ประจำโรงพยาบาลจะช่วยแนะนำ และอธิบายการทำให้อย่างชัดเจน ป้องกันการทำเองที่อาจผิดพลาด หากเห็นว่าควรรักษาด้วยวิธีการอื่นเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้หายเร็วขึ้น ก็จะส่งผลดีกว่าดูแลรักษาด้วยตนเอง ซึ่งในทางกายภาพบำบัด ก็มีวิธีการที่แตกต่างในส่วนของการรักษาที่ให้ผลโดยตรงต่อจุดที่เกิดปัญหา เช่น การขยับเขยื้อนข้อต่อ การดัด การดึง การนวด การยืดกล้ามเนื้อ การยึดข้อต่อ ล้วนแต่ไม่ต้องใช้ยา แต่ต้องทำร่วมกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม และการดูแลตัวเองของผู้ป่วย (เรียกว่า50-50 ผู้รักษามีความสามารถ และผู้ป่วยมีความตั้งใจดี)
|
|
|
|
ความคิดเห็นของคุณกับบทความนี้
...
|
|
|
Knowledge Center |
|
|
knowledge
|
|
|
|
|
|
|
|
|