จาก นิตยสาร Brand Age

มีบทสัมภาษณ์ "ซิคเว่ เบรคเก้" และ"วิชัย เบญจรงคกุล"
2 CEO ของ "ดีแทค" อ่านแล้ว รู้เลยว่า "เอไอเอส"กำลังเจอคู่แข่งที่น่ากลัวมาก
ผมสนใจแนวคิดของทั้ง 2 คน ตั้งแต่เห็นแคมเปญ "HAPPY DPROMT" และ "MY
PACKAGE" 2 แคมเปญนี้แรงมากนะครับ เป็นการเสนอ "ทางเลือก" ให้กับผู้ซื้อแบบ "MAKE IT EASY" ง่ายสำหรับคุณ
ในเชิงการตลาด มีข้อสังเกตง่ายๆ ว่าแคมเปญของสินค้าตัวไหนแรงจัดเขาให้ดูจาก "คู่แข่ง"
ถ้า "คู่แข่ง" เดินตามเมื่อไร แสดงให้รู้ว่า "แรงจริง"
"เอไอเอส" ปล่อยให้ DPROMT ได้ HAPPY อยู่พักใหญ่
ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจมือถือก็ปรับกลยุทธ์สู้
แคมเปญใหม่ของเอไอเอสเป็นการเสนอทางเลือกให้ผู้บริโภคคล้ายๆ กับ "ดีแทค"
แต่ปรับเหลี่ยมมุมเล็กน้อยให้พอเห็นความแตกต่าง เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า 2 แคมเปญของค่ายดีแทคนั้นแรงจริง
จากบทสัมภาษณ์ใน "Brand Age" ผมเพิ่งรู้ว่า "ซิคเว่"
เป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของนอร์เวย์มาก่อน
นักการทหารเมื่อมาทำธุรกิจจึงนำกลยุทธ์ด้านการทหารมาใช้ในสงครามมือถือ
ส่วน "วิชัย" เป็นน้องชายของ "บุญชัย เบญจรงคกุล" ที่ได้รับคำชมว่าเป็นคนเก่งมากคนหนึ่ง
ผู้ใหญ่ใน "ดีแทค" บอกว่า "วิชัย" ถือเป็นหนึ่งในยอดมนุษย์ "ยิบ"
เพราะเป็นผู้บริหารที่เก็บรายละเอียดได้ดีมาก "ซิคเว่ เบรคเก้" บอกว่า
"การที่จะชนะในตลาดที่มีการแข่งขันสูงจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่ดี
ซึ่งกลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือความสามารถที่จะ React ต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว
สามารถตัดสินใจได้ทันเหตุการณ์และสามารถ React ตอบโต้คู่แข่งในเวลาอันรวดเร็ว"
และสรุปว่า "การมีกลยุทธ์ที่ดีอาจต้องใช้สัญชาตญาณมาก ไม่จำเป็นต้องวางแผนล่วงหน้าเป็นปีๆ"
ผมชอบกรณีศึกษาที่เขายกมา....เมื่อ 2-3 ปีก่อน กองทัพสหรัฐอเมริกาจัดการแข่งขัน WAR GAME ขึ้นมา
โดยนำกองทัพอเมริกันมาแข่งกับพนักงานดับเพลิง ใครๆ ก็คิดว่ากองทัพอเมริกันต้องชนะแน่
เพราะมีการฝึกฝนเรื่องการวางยุทธศาสตร์สงคราม ในขณะที่พนักงานดับเพลิงไม่เคยเรียนรู้เรื่อง "ยุทธศาสตร์"
แต่ผลปรากฏว่าแข่งทีไร พนักงานดับเพลิงชนะทุกครั้งไป
เป็นกรณีศึกษาที่ทำให้เกิดข้อสรุปว่า "สัญชาตญาณ" สำคัญกว่า "ยุทธศาสตร์"
อย่าลืมว่าพนักงานดับเพลิงนั้นเป็นอาชีพที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างรวดเร็วตลอดเวลา
จะดับไฟอย่างไร จะช่วยคนที่อยู่ในกองเพลิงอย่างไร
อาจเรียนรู้หลักการมาบ้าง แต่ถึงเวลาเผชิญกับสถานการณ์จริง
พนักงานดับเพลิงต้องใช้ "สัญชาตญาณ" ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นหลัก
ประสบการณ์ยิ่งมาก "สัญชาตญาณ" ยิ่งแม่น
นั่นคือ เหตุผลที่ทำให้เขาชนะกองทัพอเมริกันใน WAR GAME
"วิชัย" บอกว่าที่ "ดีแทค" เคยทดลองเล่นเกมนี้เหมือนกัน
เขาแบ่งทีมบริหารเป็น 2 กลุ่ม ขณะที่ทีมหนึ่ง นั่งวางแผนวางยุทธศาสตร์การต่อสู้หลายรูปแบบ
แต่อีกทีมหนึ่ง มองหน้ากัน จะเอาอย่างไรดี แล้วก็ตัดสินใจลุยเลย
ผลปรากฏว่า ทีมที่ลุยก่อนเป็น "ผู้ชนะ"ครับ "ยุทธศาสตร์" หรือ "แผนงาน" ด้านหนึ่ง คือ แนวทาง
แต่อีกด้านหนึ่ง มันก็เป็น "เงื่อนไข" แห่งอนาคตทำให้คนไม่กล้าเดินออกนอกกรอบ หรือนอกแผนที่วางไว้
ทีมที่ตัดสินใจเร็ว จึงไม่ผูกติดกับเงื่อนไขในอนาคต นอกสนามอาจวางแผนได้ดี
แต่พอลงสนามจริงพอเจอกระสุนจากคู่ต่อสู้ไม่เป็นไปตามที่เราวางแผนไว้
เราไม่มีโอกาสที่จะวิ่งกลับมาประชุมใหม่ได้ ต้องใช้สัญชาตญาณในการแก้ไขปัญหา และตอบโต้
ใคร React ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด จึงจะเป็น "ผู้ชนะ"
หลักการบริหารของ "ดีแทค" จึงให้ความสำคัญกับ "สัญชาตญาณ" เป็นพิเศษ
เขาเชื่อว่าคนเราต้องเชื่อใน "สัญชาตญาณ" ของตัวเอง ถ้า "สัญชาตญาณ" บอกว่าสิ่งที่ถูก .

หรือเป็นแนวทางที่น่าจะทำไม่ต้องรอข้อมูลให้ครบ 100%แค่มีโอกาสชนะแค่ 80% ก็ลุยได้เลย
รอให้ครบ 100% เสียเวลา "เวลา" นั้นมี "ราคา""ตลาดเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ถ้ามัวรอมันเสียเวลา"
เป็นข้อสรุปของ "ซิคเว่ เบรคเก้" แนวคิดเรื่อง "สัญชาตญาณ" นี้ "ธนินท์ เจียรวนนท์"
เคยเตือนนักธุรกิจหลายคนมาแล้วว่า "อย่าดูถูกสัญชาตญาณตัวเอง"
คือ บางเรื่องยังหาผลวิจัยมาสนับสนุนความคิดเห็นไม่ได้อธิบายไม่ได้ แต่รู้สึกได้
"ความรู้สึก" นี้เกิดขึ้นจาก "ประสบการณ์" ที่สั่งสมมานานเหมือนการดูคน พนักงานขายที่ผ่านงานขายมานาน
พอเห็นปฏิกิริยาของลูกค้าบางคน เขาก็รู้แล้วว่าจะซื้อหรือไม่ซื้ออธิบายไม่ได้ แต่รู้สึกได้
"โซนี่ วอล์กแมน" ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้ให้กับ "โซนี่"มหาศาลก็เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณ
ก่อนผลิตมีการทำวิจัยว่าผู้บริโภคจะซื้อหรือไม่คำตอบคือ "ไม่"
แต่ "มอริตะ" เชื่อมั่นในสัญชาตญาณว่า "วิทยุ"ที่ใส่หูฟังเดินไปเดินมา...ขายได้
อธิบายไม่ได้ แต่รู้สึกได้ และสุดท้ายก็ "ขายได้"