ผมเองได้รับเมล์สอบถามจากน้อง ๆ ที่จบใหม่หลายราย หลังจากที่ได้สรุปเรื่องนำเสนอท่านผู้อ่านในประเด็นทักษะ 9 อย่างที่นายจ้างในองค์การสมัยใหม่ต้องการจากคนทำงาน และอีกเรื่องก็คือ 6 Skills ของคนทำงานในอนาคตเพื่อเป็น Knowledge Worker รวมถึงทักษะหลายเรื่องที่ต้องเตรียมให้พร้อมสำหรับการไปเริ่มงานใหม่ โดยเฉพาะเมื่อคนทำงาน เป็นคนทำงานใหม่ ๆ สำหรับชีวิตการทำงานจริง ๆ ซึ่งก็คือ น้อง ๆ ที่เพิ่งเรียนจบมาทำงาน และก็ขอรวมไปถึงน้อง ๆ ที่ยังมีประสบการณ์การทำงานไม่มากนัก อาจจะปีหรือสองปี
ว่าไปแล้ว บทความสั้น ๆ ที่เขียนเรื่องพวกนี้ก็มากมี ส่วนใหญ่แล้ว เหล่านักวิชาชีพบริหารงานบุคคลได้เสนอความรู้ไว้ที่เป็นประโยชน์มหาศาล โดยที่น้อง ๆ ที่ใฝ่ใจสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ และแน่นอน บางมุมมองของการนำเสนอก็อาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากในแง่ของเนื้อหาสาระที่ต้องการสื่อ เพียงแต่ วิธีการคิดอาจจะแตกต่างกันไปบ้างตามประสบการณ์ของแต่ละคน
ผมอยากจะบอกและขอตอบคำถามสำหรับน้อง ๆ ที่เมล์ถามมาว่า พอเริ่มต้นเข้าไปทำงานในหน่วยงานใหม่แล้ว จะทำอย่างไร ออ...ผมขอตอบแบบว่า จากประสบการณ์ที่เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ได้อิงวิชาการอะไรกันมากให้เมื่อยเพราะต้องปีนบันไดอ่านอะไรทำนองนั้น
1) สร้างทัศนคติที่เหมาะสมเสียก่อน ในเริ่มจากปรับมุมมองความคิดของตัวเองว่า นี่คือชีวิตของการทำงาน ซึ่งมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากชีวิตการเรียนเท่าใดหนอกครับ เพียงแต่มันมีความรับผิดชอบตามบทบาทหน้าที่ที่พ่วงติดมากับงานเพิ่มมา ทัศนคติที่ว่านี้คือ สร้างการยอมรับโลกของความเป็นจริงในการทำงานครับ ยอมรับว่ามันไม่ใช่ชีวิตของการเรียนที่เราเพิ่งจบมา หรือจบมาไม่นาน
ชีวิตของการทำงานนั้น มันเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ไปทำงานมั่งไม่ไปมั่งคงไม่ได้นะครับ เพราะกติกาของการทำงานคือเราทำงานแลกกับค่าตอบแทนที่บริษัทหรือหน่วยงานเขาให้กับเรา ชีวิตเรามักเจออะไรไม่คาดคิดเสมอ ซึ่งทำให้เราต้องเป็นคนหัวไว คิดแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างทันท่วงที ทำให้งานไม่ต้องสะดุดติดขัดในจุดเล็กๆ น้อยๆ
2) ดูสิว่า ทักษะอะไรที่คนทำงานเขามีกัน ซึ่งผมได้ว่าไปแล้วหลายเรื่องเช่นที่ยกตัวอย่างได้แก่ ทักษะ 9 อย่างที่นายจ้างในองค์การสมัยใหม่ต้องการจากคนทำงาน และอีกเรื่องก็คือ 6 Skills ของคนทำงานในอนาคตเพื่อเป็น Knowledge Worker เป็นต้น ความรู้เหล่านี้ จำเป็นที่น้อง ๆ จะต้องดูไว้ ดูว่าคนทำงานจริงเขาต้องฝึกทักษะอะไรกันบ้าง เพื่อที่จะได้เตรียมตัวเองไว้ทั้งก่อนเริ่มงาน และรู้ว่า เมื่อทำงานไปแล้ว ตัวเองยังขาดทักษะใด ที่จะต้องหมั่นไปอ่าน ไปฝึกฝนเพื่อพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะหากคุณต้องการเป็นคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว มันมีอะไรมากกว่านี้แน่นอน เช่น 26 F ของการทำงานให้ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผล โอย คิดดูสิครับ แค่จะทำงานให้เป็นอย่างว่า ต้องทำอะไรเป็นต้อง 26 เรื่องแน่ะ แต่ความเป็นจริง ไอ้เจ้าสิ่งนี้เองล่ะครับ ที่นายจ้างเค้าอยากได้ และหากคุณมี มันก็คือสิ่งที่เพิ่มค่าตัวหรือมูลค่าให้กับคุณเอง คราวนี้ จะปล่อยตัวไปเรื่อย ๆ ทำงานไปวัน ๆ หรือเปล่า เราต้องคิดเอาเองแล้วครับ
3) ชีวิตต้องรู้จักยืดหยุ่น เน้นครับว่าต้องยืดหยุ่น เพราะการทำงานไม่ใช่สมการทางคณิตศาสตร์ ไม่ใช่ทำงานส่งหัวหน้าแล้วจะได้เกรดเหมือที่ทำส่งอาจารย์เลยเสียเมื่อไหร่ล่ะ ทำงานกันทั้งปีหรืออย่างน้อยก็ 6 เดือน ถึงจะมีการประเมินความดีความชอบ และความไม่ชอบของหัวหน้างานที่มีกับผลงานของเรากัน และพอหัวหน้างานประเมินผลการทำงานแล้วให้ feedback กับเรานี่ บางทีก็ว่ากันแบบน้ำตาตกเหมือนกัน ไม่ใช่เบาเลย... ความยืดหยุ่นที่ว่าก็คือ อย่าตึงกับความคิดของตัวเองมากเกินไป ต้องรู้จักปรับอารมณ์ความรู้สึกตามสถานการณ์ให้ได้ โดยเฉพาะในแง่มุมของการทำงานที่จะต้องมีทักษะของการทำงานที่หลากหลายมากกว่า 1 เรื่องก็สำคัญ และมันเรียกร้องหาความยืดหยุ่นของคุณที่จะต้องทำงานให้ได้หลายอย่าง อย่าคิดแต่ว่า จ้างฉันมาทำงานตำแหน่งเท่านี้ จะมาคาดหวังอะไรจากฉันมากมายมันไม่เข้าที...ไม่ได้นะครับ... หลายองค์การชั้นนำ ต่างก็ต้องการคนทำงานที่ทักษะหลากหลาย หลายท่านเรียกว่าพวก multitasker นั่นเอง
4) รู้จักนำความรู้มาประยุกต์ใช้ เราเรียนมาทางด้านไหนก็จะมีทักษะและความสามารถในด้านนั้นเป็นพิเศษ รู้จักนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน แสดงฝีมือให้เพื่อนร่วมงานเห็นว่า เราเป็นตัวจริง มีความรู้จริง และใช้งานได้จริง ไม่ใช่เรียนจบมาได้เกรดสวยหรู แต่ทำงานไม่เป็นเลย
5) รู้จักสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่มีแต่ความรู้เท่านั้น แต่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีด้วย บริษัทหลายแห่งคัดเลือกแต่คนเก่งๆ เข้าไปทำงาน แต่เมื่อคนเก่งๆ อยู่ร่วมกันและไม่มีใครยอมเข้าหาใครก่อน ก็จะเกิดบรรยากาศการทำงานแบบตัวใครตัวมัน ไม่สมัครสมานสามัคคีกัน กลายเป็นความแตกแยกในองค์กร แต่หากเราเป็นคนมีนมุษยสัมพันธ์ที่ดี เข้าหาใครก็มีแต่คนเอ็นดู การทำงานร่วมกับผู้อื่นก็จะง่ายขึ้น
การรู้จักไปสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นนั้นน่ะ มันไม่ง่ายหรอกครับ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะพูดจะคุยกับเรา แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังต้องเกี่ยวข้องทำงานกับเขาไม่ทางตรงก็ทางอ้อม พบเจอกันในที่ทำงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จะเป็นต่างคนต่างอยู่คงไม่ได้ น้อง ๆ ที่ยังไม่ค่อยจะรู้วิธีการสานสัมพันธ์ระหว่างคนทำงานด้วยกัน ซึ่งไม่มีพื้นฐานของความเป็นเพื่อน หรือมีความสนใจแบบเดียวกันมาก่อน ควรอย่างยิ่งนะครับที่จะต้องรู้ Know how หรือ ความรู้แบบ How To ของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน
ตัวผมเองก็มีเรื่องเล่าเป็นตัวอย่างให้ฟังเช่นกันว่า ผมแม้จะมาเขียนเรื่องต่าง ๆ ให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน หรือนำเสนอความรู้เพื่อแลกเปลี่ยนก็ได้รับการ feedback หรือให้ข้อมูลจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงอยู่บ้างว่าให้ระวังการสื่อสารไปยังลูกน้องจะไม่ตรงกับสิ่งที่ลูกน้องเข้าใจ เพราะบางเรื่องจะไปคาดหวังว่าเข้าจะเข้าใจในประสบการณ์หรือความรู้ที่เรามีนั้นมันไม่ได้ ตรงข้าม เวลาหัวหน้าสั่งงานเรามา ก็แค่บอกว่า อย่างได้แบบนี้ ส่วนที่เหลือไปคิดเอาเอง ก็ท้าทายที่จะให้ผมลองคิดลองทำดู ถูกใจหัวหน้าบ้าง ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่หัวหน้าต้องการบ้าง นี่ยังหนักกว่าน้อง ๆ ที่เริ่มทำงานกันใหม่ สิ่งที่ผมต้องการบอกกับน้อง ๆ ที่เริ่มทำงานใหม่จากตัวอย่างที่เล่าให้ฟังนี้ก็คือ นี่ล่ะ คือชีวิตจริงของการทำงานล่ะ
แต่สิ่งที่ผมมีแน่นอน คือ ผมน้อมรับทุกคำวิจารณ์ และติงแบบสร้างสรรค์เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงตัวเอง จนกระทั่งผมเองได้รับการชื่นชมบ้างว่า ผมเป็นจำพวกที่ปรับตัวได้รวดเร็ว ท่านผู้อ่านลองเก็บไปคิดดูเป็นตัวอย่างได้ครับ
เช่นกันหากตามผมว่า ข้อแนะนำที่ผมเสนอนี้ ใช้ได้เฉพาะกับน้องใหม่เท่านั้นหรือ ผมว่าไม่หรอกครับ แม้แต่กับผมที่ทำงานมานานก็ยึดเรื่องนี้เหมือนกัน ปรับปรังตัวเองมันตลอดเวลาล่ะครับ เพราะผมเองก็ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพชีวิตการงานไม่ต่างจากท่านผู้อ่าน ก็เลยต้อง สู้ สู้ และหาส่งที่ดีให้กับตัวเองเสมอ....
|