พระไตรปิฎก พระบรมราโชวาท และไตรภูมิกถา มงคลชีวิต เตรียมความพร้อมเข้าสู่โลกแห่งงาน
ครูบาอาจารย์ ญาติผู้ใหญ่มักอวยพรให้เราได้งาน พระภิกษุมักจะพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นศิริมงคล แต่ตัวเรานั้นต้องอาศัยสติ ปัญญาปฏิบัติตามมงคลคาถาด้วยตนเอง และต้องเป็นผู้สร้างโอกาสและความโชคดีให้เกิดขึ้น คาถามงคลชีวิต หรือพรที่ท่านต้องการนั้นอัญเชิญมาจาก ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก พร้อมด้วย พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสัจจธรรมในไตรภูมิกถา ซึ่งไม่เคยล้าสมัยเลยเหมาะสมในทุกกาลสมัย เป็น "อกาลิโก" มาให้ท่านเช็คลิสท์กันดูว่าข้อธรรมมงคลต่าง ๆ นี้นั้น ท่านได้เคยปฏิบัติมาบ้างแล้วหรือยัง
ธรรมในพระไตรปิฎก ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ (๑) อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่นในการประกอบกิจ (๒) อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาทรัพย์ที่หามาได้ (๓) กัลยาณมิตตตา มีเพื่อนเป็นคนดี ไม่คบคนชั่ว (๔) สมานัตตตา เลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่ตนหามาได้ ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนัก ธรรมที่เป็นทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ ๔ ประการ คือ (๑) เป็นนักเลงหญิง (๒) เป็นนักเลงสุรา (๓) เป็นนักเลงการพนัน (๔) เป็นผู้มีมิตรชั่ว มีสหายชั่ว มีเพื่อนชั่ว โทษของการประกอบอาชีพบางอย่าง มีอาชีพ ๕ อย่าง อุบาสกไม่ควรประกอบการค้าขาย คือ (๑) ค้าขายเครื่องประหาร (๒) ค้าขายมนุษย์ (๓) ค้าขายสัตว์เป็นสำหรับฆ่าเพื่อเป็นอาหาร (๔) ค้าขายสุรายาเสพย์ติด (๕) ค้าขายยาพิษ บัณฑิตผู้อยู่ครองเรือน พึงแบ่งทรัพย์เป็น ๔ ส่วนดังนี้คือ พึงใช้สอยส่วน ๑ ประกอบการงาน ๒ ส่วน เก็บไว้ ๑ ส่วนเผื่อมีอันตราย จะได้นำมาแก้ไขอันตรายได้
ทางแห่งความเสื่อม ที่เรียกว่า อบายมุข ๖ ประการ คือ อันเป็นเหตุแห่งความประมาทเป็นทางแห่งความเสื่อมโภคทรัพย์ ๑. การหมกมุ่นในการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัย ๒. การหมกมุ่นในการเที่ยวไปตามตรอกซอกซอย ในเวลากลางคืน ๓. การเที่ยวดูมหรสพ ๔. การหมกมุ่นในการเล่นการพนันอันเป็นเหตุแห่งความประมาท ๕. การหมกมุ่นในการคบคนชั่วเป็นมิตร ๖. การหมกมุ่นในความเกียจคร้าน การหมกมุ่นในการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัย พระองค์ตรัสโทษไว้ ๖ ประการ คือ (๑) เสียทรัพย์ทันตาเห็น (๒) ก่อการทะเลาะวิวาท (๓) เป็นบ่อเกิดแห่งโรค (๔) เป็นเหตุให้เสียชื่อเสียง (๕) เป็นเหตุให้ไม่รู้จักอาย (๖) เป็นเหตุทอนกำลังปัญญา ผู้ใดเสพก็ย่อมได้รับโทษอย่างแน่นอน
' ฝูงสัตว์ทั้งหลายอันเกิดในไตรภพนี้ แม้นว่ามียศศักดิ์สมบัติก็ดี คือดั่งว่าพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นก็ดี ดั่งพระอินทร์เจ้าไตรตรึงษ์พิภพก็ดี ดั่งพระพรหมก็ดี ทั้งนี้บ่ห่อนยืนอยู่หมั้นคงในยศศักดิ์สมบัตินี้ได้เลยสักคาบ เทียรย่อมรู้ฉิบหาย รู้ตายจากรู้พลัดพรากจากสมบัตินั้นแล อันว่าพระอินทร์ก็ดี พระพรหมก็ดี ครั้นว่าเถิงเมื่อสิ้นแก่อายุแล้ว ก็เทียรย่อมท่องเที่ยวเวียนไปมาในไตรภพนี้บ่มิรู้แล้วเลยสักคาบ
. อย่าว่าแต่สัตว์อันมีใจแลบ่มิรู้หายเลย จะเริ่มดั่งว่าแผ่นดินแลภูเขาแลน้ำแลถ้ำเถื่อนทั้งหลายอันมีแต่อวินิโภครูป แลหาจิตบ่มิได้ดั่งนั้นก็ดีสิ ยังว่ารู้ฉิบหายแลบ่มิเที่ยวบ่มิแท้สักอันเลย ' นวมกัณฑ์ อวินิโภครูป อนิจจลักษณะ-อัฎฐมกัณฑ์-อรูปาวจรภูมิ (สุคติภูมิ-อรูปภูมิ) ไตรภูมิกถา พระราชนิพนธ์พระญาลิไทยประมาณ พ.ศ. ๑๘๘๘ (มหาศักราช ๑๒๖๗) ' การที่จะให้งานประสานกันนั้นมีหลักสำคัญอยู่ว่า ทุกฝ่ายจะต้องไม่แบ่งแยกกัน ไม่แย่งประโยชน์ ไม่แย่งความชอบกัน แต่ละฝ่ายแต่ละคนต้องทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลสำเร็จในการงานเป็นใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งอื่น
' พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒
'คนไม่มีความสุจริต คนไม่มีความมั่นคง ชอบแต่มักง่าย ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวมที่สำคัญอันใดได้ ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้น จึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ที่เป็นคุณประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ' พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๒
'... "บัณฑิต" ตามที่เข้าใจกัน หมายถึงผู้มีคุณความรู้สูงและกว้างขวางเพราะมีการศึกษาหรือได้เรียนรู้มามาก ที่จริง "บัณฑิต" ควรมุ่งถึงคนที่มีปัญญายิ่งกว่าอื่น และ "ปัญญา" หรือ "ความมีปัญญา" นั้นอธิบายได้มาก แต่ก็มีความหมายสำคัญรวบยอดอยู่ ประการหนึ่ง คือหมายถึงความสามารถเข้าใจได้อย่างถูกต้อง ถ่องแท้ และตรงจุด ไม่มีความลังเลสับสนหรือยึดติดอยู่กับสิ่งที่มิใช่สาระ เมื่อจะพิจารณาหรือเรียนรู้เรื่องใดสิ่งใด ก็มุ่งเข้าถึงสาระของเรื่องนั้นสิ่งนั้นได้ทันทีโดยกระจ่างชัด ด้วยเหตุที่ได้ฝึกหัดกระบวนการคิดพิจารณาไว้ดีแล้วจนเที่ยงตรงเป็นระเบียบ ดังนี้ ผู้มีปัญญา หรือผู้มีความเข้าใจจะแก้ไขปัญหาอันใดก็ลุล่วงเรียบร้อย จะร่วมมือร่วมงานกับผู้ใดก็ราบรื่น จะทำการสิ่งใดก็สำเร็จสมบูรณ์มีประสิทธิภาพ จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถแท้ เหมาะแก่งานสร้างสรรค์ทุก ๆ อย่าง ..' พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ณ วิทยาเขตหาดใหญ่ ๓ กันยายน ๒๕๒๔
'สามัคคีหรือการปรองดองกันไม่ได้หมายความว่าคนหนึ่งพูดอย่างหนึ่ง คนอื่นต้องเหมือนกันหมด ลงท้ายชีวิตก็ไม่มีความหมาย ต้องมีความแตกต่างกัน แต่ต้องทำงานให้สอดคล้องกัน แม้จะขัดกันบ้างก็ต้องสอดคล้องกัน' พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่บุคคลต่างๆ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖
'ผู้หนักแน่นในสัจจะ จะพูดอย่างไรทำอย่างนั้น จึงจะได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธา เชื่อถือ และความยกย่องสรรเสริญจากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำคือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด'ความคิดนั้นเป็นแม่บทใหญ่ของการพูดและการกระทำ เพราะกิจที่จะทำคำที่จะพูด ทุกอย่างล้วนสำเร็จมาจากความคิด การคิดก่อนพูดและก่อนทำจึงช่วยให้บุคคลสามารถยับยั้งคำพูดที่ไม่สมควรหยุดยั้งการกระทำที่ไม่ถูกต้อง' พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๐
ฯลฯ
|