ห้องสมุดเรือโบราณ ของโรงเรียนวัดท่าโรงตะวันตก หมู่ที่ 10 ต.วัดพริก อ.เมือง จ.พิษณุโลก ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 เป็นห้องสมุดที่แปลกแหวกรูปแบบไปจากห้องสมุดในที่อื่น ๆ เพราะไม่ได้อยู่ในแบบของห้องสี่เหลี่ยม แต่ใช้เรือโบราณที่เป็นพาหนะสำหรับสัญจรและขนส่งทางน้ำในอดีต มาทำเป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียน จนได้รับรางวัลชนะเลิศห้องสมุดโรงเรียนขนาดเล็กดีเด่น ของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย รางวัลชนะเลิศการประกวดห้องสมุดดีเด่นโรงเรียนขนาดกลาง วันประถมศึกษาแห่งชาติที่จัดโดยสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดพิษณุโลก และรางวัลชนะเลิศอื่น ๆ มาแล้วอีกนับไม่ถ้วน
นายสกรรจ์ เกตุแก้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดท่าโรงตะวันตก เล่าถึงความเป็นมาของห้องสมุดเรือว่า เมื่อปี พ.ศ.2533 ได้มีผู้นำเรือเอี้ยมจุ้นหรือเรือกระแชง เป็นเรือที่ทำมาจากไม้สักทองทั้งลำ อายุของเรือถึงปัจจุบัน 55 ปี เป็นเรือที่ใช้สำหรับบรรทุกข้าวเปลือกได้ 40 เกวียน เพื่อล่องไปตามแม่น้ำน่านไปขายยังโรงสีข้าว ต่อมาได้เลิกใช้และเจ้าของเดิมนำไปถวายให้กับทางวัดท่าโรงตะวันตก เดิมทางวัดต้องการรื้อเรือออก เพื่อนำไม้สักทองไปสร้างหอสวดมนต์ แต่ตนเห็นว่าเรือลำดังกล่าวน่าเก็บรักษาไว้ ให้อนุชนรุ่นหลังได้เห็นถึงสภาพของเรือสินค้าโบราณ
จึงคิดและนำมาประยุกต์ปรับปรุงเรือขึ้นใหม่ ทำคานคอนกรีตและยกเรือมาวางไว้บนบกภายในโรงเรียน จัดทำเป็นห้องสมุดเรือของโรงเรียนขึ้น เริ่มใช้เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2537 เป็นต้นมา โดยได้รับเงินบริจาคมา จำนวน 185,000 บาท ชั้นบนของเรือทำเป็นสถานที่สำหรับอ่านหนังสือ ตั้งชั้นวางและตู้เก็บหนังสือ อุปกรณ์สำนักงานห้องสมุด ส่วนชั้นล่างของเรือปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน มีสิ่งของที่หายากและงานหัตถกรรมโบราณในท้องถิ่น นำมาจัดแสดงให้นักเรียนและประชาชนทั่วไปได้ชม ผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าว
ต่อมาในปี 2537 หลังจากที่มีผู้ไปเที่ยวชมและเกิดศรัทธา จึงได้บริจาคเรือให้แก่ทางโรงเรียนอีกหนึ่งลำ เป็นเรือยนต์รับส่งผู้โดยสาร ระหว่างหมู่บ้านจากริมสองฝั่งแม่น้ำน่านไปยังตัวเมืองพิษณุโลก ก่อนเลิกกิจการไปเนื่องจากการคมนาคมทางบกที่สะดวกกว่าเข้ามาแทนที่ อายุของเรือ 60 ปี โดยยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ มีเครื่องยนต์เรือและพังงาเรือครบพร้อมวิ่งใช้งงานได้ ทางโรงเรียนจึงได้นำขึ้นไปจัดวางไว้คู่กับเรือลำแรก เพื่อทำเป็น เรืออ่านหนังสือ และยังใช้เป็นสถานที่สำหรับสอนหนังสือและวิชาดนตรีให้แก่นักเรียน สามารถรองรับได้มากถึง 30-40 คน สร้างความประทับใจให้แก่นักเรียน และผู้มาใช้บริการห้องสมุดได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันยังได้รับการบริจาคเป็นเรือขนาดใหญ่อีกหนึ่งลำ จากร้านอาหารแพฟ้าไทย มีอายุ 61 ปี แต่เดิมใช้เป็นเรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้า ทางโรงเรียนจึงได้นำไปตั้งไว้บริเวณด้านหน้าของโรงเรียนติดริมแม่น้ำน่าน เพื่อหางบประมาณ สำหรับใช้พัฒนาให้เป็น เรืออเนกประสงค์ แบ่งเรือเป็นสองชั้น จัดเป็นห้องประชุม ห้องสัมมนา และสถานที่แสดงนิทรรศการ ผลิตภัณฑ์สินค้าดีเด่นของโรงเรียนและของหมู่บ้าน เนื่องจากเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่ ความกว้าง 5 เมตร ยาว 22 เมตร คาดว่าต้องใช้งบประมาณปรับปรุงตกแต่ง รวมทั้งจัดหาวัสดุสำหรับใช้เป็นห้องประชุม ประมาณ 500,000 บาท
หลังจากที่ทางโรงเรียนได้จัดทำห้องสมุดเรือ ปรากฏว่าเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แบบปากต่อปากจากพุทธศาสนิกชนที่มาทำบุญทอดผ้าป่า ทอดกฐินที่วัดท่าโรง ฯ และประชาชนที่ได้เดินทางไปเห็นเข้า ทำให้ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวได้เข้าเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ บางกลุ่มเดินทางมากันเป็นคณะใหญ่เต็มคันรถบัส เพื่อมาขอดูงานก็บ่อยครั้ง ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาต่างแสดงความคิดเห็น ในสมุดเยี่ยมของห้องสมุดเรือไปในแนวทางเดียวกันว่า เป็นความคิดที่แปลกใหม่ ที่สามารถนำสิ่งของเหลือใช้มาทำประโยชน์ ทั้งยังมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์เรือโบราณ ที่นับวันมีเหลือให้เห็นน้อยลงไปทุกที ที่สำคัญทำให้นักเรียนและประชาชนในพื้นที่ รักในการอ่านหนังสือมากขึ้น เพราะห้องสมุดเรือมีบรรยากาศที่ดีเหมาะกับการได้เข้าไปใช้บริการ
เด็กหญิงพรรณทิภา นุชรุ่งเรือง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกว่า ตนเองและเพื่อน ๆ ไม่เคยเห็นเรือแบบนี้ล่องตามแม่น้ำมาก่อนเลย รู้สึกแปลกดีที่เรือมาอยู่บนบกและทางโรงเรียนก็ได้ทำเป็นห้องสมุดให้ได้ศึกษาหาความรู้ เวลามาเรียนที่เรือลำนี้ จะรู้สึกสนุกดี ไม่น่าเบื่อ ลมพัดเย็นสบายกว่าในห้องเรียน และชอบมากโดยเฉพาะในวิชาที่คุณครูให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ บนเรือลำนี้ อย่างเช่น เล่นดนตรีไทย วาดภาพระบายสี